วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หัวใจหงส์หินคู่ มหัศจรรย์หัวใจแห่งความสำเร็จ


หัวใจหงส์หินคู่
มหัศจรรย์หัวใจแห่งความสำเร็จ


หัวใจหงส์หินคู่ มหัศจรรย์หัวใจแห่งความสำเร็จ
สำหรับผู้ที่ชอบเสี่ยงดวง หรือไม่รู้จะไปพึ่งใครที่ไหนในยามที่ต้องการความสำเร็จ หรือเพื่อจะผ่านพ้นปัญหาต่างๆในชีวิต ทั้งทางธรรมและทางโลก ไม่ว่าจะเป็น..การตั้งความปรารถนาทางด้านธรรมมะเพื่อเข้าสู่กระแสแหละมรรคผลพระนิพพานในที่สุด.. หรือในทางโลก เช่น.. ความรัก ครอบครัว การงาน การเงิน สุขภาพ การเดินทาง.. และอื่นๆ ฯลฯ ..ไม่ไปทำความเดือดร้อนให้สังคม หรือใครๆ ตั้งจิตอธิฐานได้สำเร็จตามความเหมาะสม..
หากท่านมีความรู้สึกว่าท้อแท้ เหนื่อยหน่าย สิ้นหวังในชีวิต.. ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง หรือมืดตึ๊บ!.. ไม่รู้จะไปพึ่งใครได้อีก.. ที่นี่อาจช่วยท่านได้.. อาจเป็นความหวังสุดท้ายที่เป็นไปได้ก็ได้  แต่ต้องเป็นเรื่องที่อยู่ในหลักเกณฑ์ของความถูกต้องและสมควรนะครับ ไม่ใช่ว่าผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย ไร้ความเหมาะสม ไม่ใช่สิ่งดีงาม.. อย่างนั้นก็ไม่ได้นะครับ ..ไม่จำเป็นต้องเชื่อ.. แต่จำเป็นต้องรู้!.. ไม่เชื่ออย่าพึ่งลบหลู่.. ฟังหูไว้หู.. ดูให้ดีๆเสียก่อน.. รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม..
นับเป็นข่าวดีอย่างมากมายสำหรับพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะศิษย์สาย หลวงปู่เสถียร ฐิตสีโล
แห่งสำนักปฏิบัติธรรม (วัด) ภูนกหงส์หินนี้นะครับ รู้แล้วแชร์โพส หรือบอกข่าวต่อๆกันไปด้วยนะครับ ตอนนี้หลวงปู่ท่านกำลังพยายามพัฒนาจัดสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อให้เป็น สำนักปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงต่อไปครับ
ลองขึ้นไปจุดธูปหอม ๑๖ ดอกบอกความตั้งใจ เสี่ยงดวงดูนะครับ อาจเป็นปาฏิหาริย์ได้อย่างเหลือเชื่อ หรือคาดไม่ถึงก็ได้นะครับ ได้ผลมาแล้วหลายคน.. ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความรัก ครอบครัว การงาน การเงิน การเดินทาง สุขภาพ โชคเคราะห์ .. อื่นๆ.. ฯลฯ..  รับชมวีดีโอทาง อินเทอร์เน็ต ได้ที่ Google/YouTube โดยพิมพ์
หัวใจหงส์หินคู่ หรือพิมพ์  มหัศจรรย์หัวใจแห่งความสำเร็จ
http://www.youtube.com/watch?v=_XXTAk39iiw                           http://youtu.be/ow0erce9O-8
ณ ที่ สำนักปฏิบัติธรรม (วัด)ภูนกหงส์หิน บ้านแก้งอะฮวน ต.ท่าหลวง อ.ตระการพืชผล
จ.อุบลราชธานี ติดต่อสอบถามรายละเอียดก่อนเดินทางได้ที่ หลวงปู่เลี่ยม ๐๙๓ ๐๙๐ ๗๑๘๑
หรือที่คุณฮุด ๐๙๑ ๓๒๙ ๓๓๙๓ .. ขออนุโมทนา สาธุ!..

**

ประวัติความเป็นมา

หัวใจหงส์หินคู่ มหัศจรรย์หัวใจแห่งความสำเร็จ (อย่างคร่าวๆ)
เจดีย์ดอกบัวทอง ภูนกหงส์หิน

หลวงปู่เสถียร ฐิตสีโล

หงส์หินคู่เจ้าของหัวใจ

เมื่อปลายเดือน สิงหาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมานี้เอง หลวงปู่เสถียร ฐิตสีโล  ท่านได้เมตตามาสื่อสารบอกกับหลวงปู่เลี่ยมผู้เป็นศิษย์ ที่ปีนี้ได้ออกบวชเป็นภิกษุ มาจำพรรษาที่วัดภูนกหงส์หินแห่งนี้


หลวงปู่เลี่ยม


ท่านได้มาบอกว่าที่ภูนกหงส์นี้ นอกจากสถานศักดิ์สิทธิ์สำคัญๆ เช่น หอพระธาตุดอกบัวคู่ ถ้าปู่ ถ้ำฤๅษี ศาลย่าแพ้ว เจดีย์ดอกบัวทอง นกหงส์หินคู่ และอื่นๆแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่นานแสนนานมาแล้วภพภูมิยังไม่เคยได้เปิดเผยมาก่อนเลย แต่บัดนี้ ถึงเวลาแล้ว.. นั่นคือ หัวใจหงส์หินคู่ มหัศจรรย์หัวใจแห่งความสำเร็จ
หัวใจหินคู่ นั้นจะอยู่ใกล้ๆกับนกหงส์หินคู่ จากนกหงส์หินเยื้องออกมาทางด้านขวาของหน้าผานกหงส์นั้นประมาณ ๓๐-๔๐ เมตรโดยประมาณ ดังที่เห็นในภาพด้านล่างนี้

 เมื่อก่อนนี้ แม้ผู้ใดใครๆก็ตาม ที่ผ่านไปผ่านมาในหลายชั่วอายุคนแล้ว แม้ดึกดำบรรพ์แต่โบราณเป็นต้นมาจนป่านนี้ ก็ยังไม่มีใครเลยที่ปรากฏว่าจะเห็น หรือทักท้วงอะไรกันขึ้นมาบ้างเพราะสะดุดตาสะดุดใจจะนับเวลาเนิ่นนานเพียงใดนั้นมิอาจจะทราบได้ แม้คนในยุคปัจจุบันนี้เองซึ่งเป็นยุคเจริญรุ่งเรืองก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะภพภูมิสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่อยู่ในภูนกและในพระพุทธศาสนาผู้เฝ้าดูแลอยู่ ด้วยเหตุผลเพื่อรอเวลาทำนุบำรุงเชื่อมต่ออายุพระพุทธศาสนาในกึ่งพุทธกาลนั่นเอง .. และบัดนี้นั้น ได้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว
การเปิดเผยนี้ จะทำให้ได้ช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับพวกเราชาวพุทธที่ต้องประสพกับปัญหาหลายๆด้านที่หาทางออกลำบากหรือยากต่อการที่จะหาทางออกได้ เปิดโอกาสให้ศรัทธาธรรมทั้งหลายที่มีความปรารถนาในทางที่ถูกที่ควร ได้ขึ้นไปไหว้บูชาอธิฐานบนบานศาลกล่าวตามความปรารถนาที่ถูกที่ควรดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จ หรือผ่านพ้นปัญหาต่างๆได้มากกว่าปรกติ หรือเรียกได้ว่าอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ เหลือเชื่อเป็นไปได้ยังไง? .. อะไรทำนองนี้..
แต่ก็ต้องเสี่ยงดวงกันหน่อย ว่าใครจะมีวาสนาบารมีที่สั่งสมมากน้อยเพียงใดกับหัวใจหงส์หินคู่นี้ ดั่งที่พระพุทธองค์ท่านได้กล่าวไว้ว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง ธรรมดาหมู่สัตว์มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นผู้ให้ผล ผู้ใดทำกรรมใดไว้ ผู้นั้นย่อมได้รับผลของกรรมนั้นๆสืบไป..

ประวัติความเป็นมาของหัวใจหงส์หินคู่นี้นั้น ค่อนข้างจะอัศจรรย์เหลือเชื่อ อันนี้ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าในใบลานเก่าแก่ของภูนกหงส์นั้นได้มีกล่าวไว้หรือไม่? เนื่องจากข้าพเจ้ามิได้อ่านที่ท่านแปลออกมาเป็นหนังสือภาษาไทยปัจจุบันนั้นโดยละเอียด แต่ก็พอจะจับใจความสำคัญได้บ้าง
จำเป็นต้องย้อนกล่าวไปยังอดีตกาลนานแสนนานมาแล้ว ตามคัมภีร์ใบลานเก่าแก่บันทึกไว้ว่า ภูนกหงส์แห่งนี้ เคยเป็นเมืองเก่าของพระมหาโพธิสัตว์ สุวรรณหงส์ เป็นพระชาติหนึ่งของพระสมณโคดมพุทธเจ้าของเราในปัจจุบัน กาลสมัยนั้นก่อนที่พระองค์จะเข้าสู่การเกิดในพระเจ้าสิบชาติ
อันมี ๑ พระเตมีย์ใบ้ บำเพ็ญเนกขัมมะปะระมัตถะปารมี  ๒ พระมหาชนก บำเพ็ญวิริยะปะระมัตถะปารมี  ๓ พระสุวรรณสาม บำเพ็ญเมตตาปะระมัตถะปารมี  ๔ พระเนมิราช บำเพ็ญอธิษฐานะปะระมัตถะปารมี  ๕ พระมโหสถ บำเพ็ญปัญญาปะระมัตถะปารมี  ๖ พระภูริทัต บำเพ็ญศีละปะระมัตถะปารมี  ๗ พระจันทกุมาร บำเพ็ญขันติปะระมัตถะปารมี  ๘ พระนาระทะ บำเพ็ญอุเปกขาปะระมัตถะปารมี  ๙ พระวิธูรบัณฑิต บำเพ็ญสัจจะปะระมัตถะปารมี และ ๑๐ พระเวสสันดร บำเพ็ญทานะปะระมัตถะปารมี
ในกาลนั้นมนุษย์อายุ ๑,๐๐๐ (หนึ่งพัน)ปี เมืองนี้ชื่อมิถิลานคร ปกครองสืบต่อกันมายาวนานจนถึงกาลที่พระมหาโพธิสัตว์ลงมาเกิดเป็นท้าวสุวรรณหงส์ พระองค์ได้รับพระราชทานหงส์หินคู่จากองค์อิทราธิราช ให้มาเป็นยานพาหนะ ในการเสด็จไปในที่ต่างๆตามพระประสงค์ พญาหงส์คู่นั้นมีลักษณะพิเศษ คือ เมื่อท้าวสุวรรณหงส์ต้องการไปที่ไหน หงส์คู่ก็จะกลายเป็นหงส์ที่มีเลือดเนื้อชีวิตบินได้นำพาเสด็จไปในทันที แต่เมื่อใดที่หยั่งลงสู่พื้นเพื่อหยุดยั้ง ก็จะกลายเป็นหงส์หินอยู่อย่างนั้นทันทีเช่นกัน สามารถพูดคุยสื่อสารกับผู้เป็นนายได้
ในกาลนั้นพระองค์ได้ไปหลงรักใคร่พระนางจันทราเทวีราชธิดาแห่งเมืองอื่น แต่พระนางไม่รักใคร่ด้วย ไม่ว่าจะทำอย่างไรพระนางก็ไม่รักด้วยอยู่อย่างนั้น เป็นเหตุให้ท้าวสุวรรณหงส์เป็นทุกข์เพราะความรักยิ่งนัก เฝ้าหาวิธีอย่างไรๆพระนางก็เมินหมาง ยิ่งหาวิธีให้รักก็ยิ่งเหมือนจะสิ้นหวังลงทุกที ..
แต่ก็ใช่ว่าจะหมดหนทางไปเลยเสียที่เดียว เมื่อพญาหงส์คู่ทั้งสองนั้นเป็นผู้รู้ความลัพธ์อยู่ ว่าจะทำอย่างไรพระนางจันทราเทวีจึงจะยอมมีใจรักใคร่กับท้าวสุวรรณหงส์ด้วย แต่ถ้าบอกความลัพธ์นั้นออกไปตนทั้งสองก็จักต้องมีอันถึงแก่ความตายในทันที จำต้องเฝ้าใคร่ครวญลำบากใจอยู่อย่างยิ่ง ยิ่งเนิ่นนานเมื่ออาการเป็นทุกข์เพราะความรักของท้าวสุวรรณหงส์ผู้เป็นเจ้านายแล้วก็ยิ่งเป็นทุกข์ไม่ต่างจากผู้เป็นนาย ท้าวสุวรรณหงส์เอาแต่ทุกข์ระทมไม่เป็นอันกินอันนอน กินไม่ได้นอนไม่หลับประทับไม่อยู่

นานวันเข้าพญาหงส์ทั้งสองตนนั้น ไม่อาจจะยังเห็นความทุกข์ท้อทรมานของท้าวสุวรรณหงส์ผู้เป็นนายได้ จึงได้ปรึกษากันตกลงกันว่า “เราทั้งสองควรจะยอมสละชีวิตเผยความลัพธ์นั้นแก่ผู้เป็นนายเสีย แม้ตายก็ต้องยอม” ดังนั้น จึงยอมสละตนเองเสีย พอบอกความลัพธ์นั้นออกไปแก่ผู้เป็นนาย (หลวงปู่ท่านมิได้เปิดเผยเอาไว้ว่า ความลัพธ์สวรรค์ที่พญาหงส์คู่ได้เปิดเผยออกมานั้น คืออะไร?)
 ในครานั้น เมื่อพญาหงส์สองตน ได้เปิดเผยความลัพธ์สวรรค์ออกมาเท่านั้นเอง  “หัวใจ”  ทั้งสองดวงของพญาหงส์คู่นั้น ก็เกิดระเบิดตูมตามหลุดออกมาจากหัวออกของตนทั้งสอง หลุดลอยออกไปวางทับซ้อนกันกลายเป็นหัวใจหงส์หินคู่ อยู่บนหลักหินบนหน้าผาใกล้ๆกับร่างพญาหงส์สองตนนั้น ดังที่เห็นในภาพนี้เอง



ร่างทั้งสองของพญาหงส์ ไม่อาจจะกลับกลายคืนสู่การมีเลือดเนื้อและชีวิตได้อีกเลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนบัดนี้ แม้หัวใจทั้งสองก็เช่นกัน ถ้าจะนับการเวลาแล้ว ยาวนาน นานแสนนานเกินกว่าที่จะคำนวณได้ด้วยประใดๆในทางวิทยาศาสตร์ เพราะตามคัมภีร์ใบลานของภูนกหงส์นั้นได้กล่าวเอาไว้ว่า กาลสมัยนั้นก่อนพระเจ้าสิบชาติของพระมหาโพธิสัตว์มนุษย์อายุกัปอยู่ที่ ๑,๐๐๐(หนึ่งพันปี) แล้วกว่าที่มนุษย์เราจากอายุ ๑,๐๐๐ ปี จะผิดพลาดทางศีลธรรมลดอายุกัปของพวกตนให้น้อยถอยลงมาเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้ต้องใช้เวลานานแสนนานสักเท่าใด สังเกตจากเมื่อสมัยพุทธกาลแรกที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนอยู่นั้น มนุษย์อายุกัปอยู่ที่ ๑๒๐-๑๓๐ ปี ใช้เวลานานมาร่วม ๒,๖๐๐ กว่าปี ค่อยๆลดอายุลงมาจนถึงทุกวันนี้ มนุษย์อายุกัปอยู่ที่ ๗๐-๘๐ปีโดยประมาณ คิดดูนะ ขนาดในยุคมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเอาศีลเอาธรรมนี้ยังใช้เวลานานถึง ๒,๖๐๐ กว่าปี จึง เสียอายุกัปไป ๔๐ปี โดยประมาณ (๑๒๐ ลบด้วย ๘๐ เท่ากับ ๔๐ หรือ ๑๓๐ ลบด้วย ๗๐ เท่ากับ ๖๐ ) แล้วถ้ามนุษย์ในยุคที่เอาศีลธรรมเป็นใหญ่ จะต้องใช้กาลเวลานานแสนนานสักเท่าใด ??? ...
            ในกาลนั้นท้าวสุวรรณหงส์ได้สูญเสียพญาหงส์คู่ใจไปพร้อมกันถึงสองตน แม้จะทำให้เสียพระหฤทัยยิ่ง แต่ก็สามารถได้พระนางจันทราเทวีมาเป็นพระมเหสีคู่ใจ อย่างปาฏิหาริย์ เป็นเพราะการเสียสละของพญาหงส์ผู้ประเสริฐสองตนนั้นแท้ๆ จึงพูดได้ไม่อายว่าเป็นมหัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์ หัวใจหงส์หิน มหัศจรรย์หัวใจแห่งความสำเร็จ เพราะเป็นต้นแบบแห่งการเสียสละเพื่อความสุขสำเร็จโดยแท้ ไม่ผิดหรอกที่จะเรียกว่า อย่างนี้ แบบนี้ คือ หนึ่งเดียวในโลก ไม่มีในที่อื่นๆใดๆเลย ทั้งยังมีความสมบูรณ์ด้วยรูปลักษณ์แหละตำนานที่ชัดเจนอย่างนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยได้ลองวัดดูเสียทีว่าขนาดจำกัดจริงๆนั้นเท่าใด แต่ประเมินด้วยสายตาดูแล้วก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ ๑ วาเป็นแน่แท้ น้ำหนักก็น่าจะอยู่ที่ ๑-๒ ตัน ธรรมดาคงไม่มีใครๆยกไปวางไว้เล่นๆได้อย่างแน่นอน
          ด้วยหลักของเหตุและผลที่พญาหงส์สองตน ได้ยอมสละชีวิตตนเองเพื่อความความรก ความสุขสมหวังของท้าวสุวรรณหงส์ จนเป็นผลสำเร็จในชีวิตคู่ดังกล่าวแล้วนั้น จึงถือได้ว่า หัวใจหงส์หินคู่นี้ เป็นหัวใจปาฏิหาริย์มหัศจรรย์หัวใจแห่งความสำเร็จ ตามที่หลวงปู่เสถียร ท่านได้เปิดเผยออกมาดังกล่าวข้างต้น

            ไม่จำเป็นต้องเชื่อแต่จำเป็นต้องรู้! ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่! ตำนานนี้ถูกเปิดเผยออกมา ไม่ได้มีประสงค์เพื่อบังคับให้ใครต้องมาเชื่อตาม ถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล หรือเฉพาะกลุ่ม ควรใช้วิจารณญาณในการรับรู้รับชม รับข้อมูลข่าวสาร พิจารณากันเอาเอง

            แต่โดยส่วนตัวของข้าพเจ้าเองแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อ แต่ไม่ได้เชื่อโดยแค่เพราะได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น แต่เพราะข้าพเจ้าได้ผ่านประสบการณ์มาบ้างแล้ว ที่สำคัญนั้นพวกเราได้คลุกคลีเทียวขึ้นเทียวลงอยู่บนภูนกนี้มานานหลายปี ส่วนตัวข้าพเจ้าเองนับแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒ เป็นต้นมา ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ 

ภาพตัวอย่าง


รูปชุดนี้ถ่ายเมื่อ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ 
แต่ข้าพเจ้าและเพื่อนๆก็ไม่เคยสังเกตหรือรู้สึกบ้างสักนิดเลยว่ามีหัวใจหินอยู่ตรงนั้น พอหลวงปู่เปิดเผย ว่าตรงนี้
มีหัวใจหินคู่อยู่ จึงได้พยายามค้นไฟล์หารูปเก่าๆย้อนเอากลับมาดูใหม่อีกครั้ง ถึงได้เห็นอย่างนี้

ข้าพเจ้าเองเทียวขึ้นลง ณ สถานที่แห่งนี้บ่อยครั้งไม่น้อย ที่สำคัญไม่ใช่แค่ผ่านๆไปมาเฉยๆเพียงเท่านั้น ยังได้มีการไปแอ็คท่าถ่ายรูปอย่างที่เห็นในภาพนี้ ปีนป่ายขึ้นลงอยู่ซ้ำๆซากๆไม่ใช่เพียงข้าพเจ้าเท่านั้น หลายๆคนก็เช่นกัน เพราะศรัทธาธรรมทั้งหลายไปชมนกหงส์หิน ก็มักจะต้องเดินมาสำรวจดู โน่น นี่ นั่น ตรงหน้าผาแห่งนี้กันแทบทุกคน  แต่กลับไม่มีใครเลยจะสังเกตเห็นเป็นหัวใจหินวางเด่นอยู่อย่างนี้ เห็นก็เป็นแค่ก้อนหินธรรมดาๆก้อนหนึ่งเท่านั้นเอง
แต่ก็จำได้ว่าเคยได้ยืนพิจารณาอยู่ว่า คนแต่โบราณเนิ่นนานมานั้น ใครผู้ใดหนอช่างทำได้ ใครหนอช่างมีกำลังยกเอาก้อนหินขนาดใหญ่น้ำหนักเป็นตันๆไปวางไว้บนเสาหินนั้นได้อย่างลงตัว ทำได้ยังไง? ยืนพิจารณาอยู่เพียงนั้น ยังไม่เคยสะดุดความรู้สึกเลยสักนิด แม้ถ่ายรูปมาแล้วดูก็ไม่อีกตามเคย ข้อที่น่าสังเกตอีกอย่างก็คือ ทุกๆคนที่ไปที่นั่นเป็นเหมือนๆกันกับข้าพเจ้า ก็แค่เห็นเป็นก้อนหินที่น่าสนเท่ห์เพียงก้อนหนึ่งเท่านั้น คือไปวางอยู่บนยอดเสาหินอยู่อย่างนั้นได้อย่างไร? ก็เท่านั้นเอง จนกระทั่งหลวงปู่ท่านได้มาเปิดเผย เมื่อปลายเดือนสิงหา ๕๗ ที่ผ่านมานี้เองจึงได้รู้จึงได้เห็น อย่างนี้ถือเป็นอัศจรรย์สำหรับข้าพเจ้ามากเกินพอแล้ว .. ฯลฯ ..




สำหรับการไปไหว้อธิฐาน เพื่อขอความสำเร็จอันใดนั้น ในเบื้องต้นท่านให้ใช้ธูปหอม ๑๖ ดอก เท่านั้นก็ได้ หรือใครจะมีดอกบัวขาวสด(ดอกบัวจริงไม่ปลอม) ๔ ดอก และพวงมาลัยดอกไม้สด ๔ พวง ไปด้วยก็ยิ่งจะดี
จุดธูปหอม ๑๖ ดอก ถือธูปพนมไว้ในมือ ว่านะโม ๓ จบ เพื่อนอบน้อมระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าขออนุญาตพระบรมครูเสียก่อน แล้วจึงขออนุญาตหรือบอกความตั้งใจที่ต้องการแก่หงส์หินคู่ให้รับทราบ แล้วจึงนำธูป ๑๖ ดอกนั้นไปพนมมือไหว้อธิฐาน หรืออธิฐานซ้ำที่หัวใจหงส์หินคู่ .. เสร็จแล้วจึงปักธูป ๑๖ ดอกลงที่โคนเสาหินนั้น (ตอนนี้ยังไม่มีกระถางธูป ก็หาที่ปักยากหน่อย เนื่องจากพื้นเป็นหินเกือบทั้งหมด ต้องปักตามร่องหินไปก่อน) เป็นอันเสร็จพิธี

หากผู้ใดมีดอกบัวขาวสด ๔ ดอก หรือพวงมาลัยดอกไม้สด ๔ พวง ตอนจุดธูปที่นกหงส์ก็ให้วางที่นกหงส์อย่างละ ๒ (ตัวละดอก ตัวละพวง) จากนั้นที่เหลือให้ถือไปอธิฐานบนบานศาลกล่าวแล้ววางที่บนหัวใจหงส์หินคู่ .. เมื่อได้รับความสำเร็จแล้ว ตอนกลับไปแก้บนนั้น เครื่องบูชา ธูปหอม ๑๖ ดอก ดอกบัวขาวสด ๔ ดอกจะต้อง พวงมาลัยดอกไม้สด ๔ พวง จะต้องครบทุกอย่างอย่าให้ขาด ส่วนใครจะเพิ่มเติมอะไรๆตามสมควรนั้นก็แล้วแต่ เช่น ผ้าขาว ผ้าเขียว ผ้าเหลือง ผ้าแดง เพื่อผูกแต่ง หรือสิ่งของตามที่ตนบนไว้นั้นก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าให้เป็นเหล้ายาเครื่องดองของเมา หรือสิ่งของที่เป็นอันตราย ลามก การเบียดเบียนผู้อื่น เช่นชีวิตสัตว์เป็นต้น ไม่ดีไม่งาม ไม่เอา ขอให้เข้าใจนะครับ จะให้ดีก็ต้องบนด้วยการปฏิบัติธรรม การทำบุญทำทาน การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาของเราให้เจริญรุ่งเรืองและถูกต้องครับ ยิ่งตอนนี้สำนักปฏิบัติธรรมภูนกหงส์หินของเรากำลังเริ่มฟื้นฟูพัฒนา เพื่อให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมใหม่ๆ ก็ยิ่งเป็นโอกาสที่จะได้ทำคุณงามความดี สั่งสมบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป มีโอกาสได้สำเร็จตามความปรารถนามากกว่าช่วงอื่นๆครับ
ในการไปไหว้บนบานอธิฐานขอนั้น แม้ท่านจะอนุญาตไว้ให้ไปได้ทุกวันทุกเวลาก็ตามที แต่ก็มีหลักการที่จะให้เกิดความสำเร็จยิ่งๆขึ้นไปกว่าปรกติอยู่คือ ติดต่อสอบถามและเข้าไปกราบไหว้ไถ่ถามที่หลวงปู่เลี่ยมให้ดีเสียก่อน จะได้รู้แน่ว่าตอนเองติดขัดอะไรอื่นๆอยู่บ้าง? เป็นเรื่องที่ต้องบนหรือไม่ต้องบน บางเรื่องที่เป็นอยู่ก็แก้ไขได้ไม่ยากแต่ต้องให้หลวงปู่เสถียรและหลวงปู่เลี่ยมท่านพิจารณาเสียก่อน ว่าที่เป็นอยู่นั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับภพภูมิที่มีกรรมผูกร่วมกันมา จำเป็นต้องได้รับการสื่อสารทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเสียก่อน หรือเกิดจากวิบากกรรมมากน้อยเพียงใด มีอะไรต้องเพิ่มเติมหรือไม่? เห็นสมควรต้องบนท่านก็จะบอกให้ไปตามสมควร
            จะให้ดียิ่งขึ้นท่านว่าให้เป็นจันทรคติในข้างขึ้น ตั้งแต่ขึ้น ๙ ค่ำ จนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ  โดยเฉพาะในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำได้เป็นยิ่ง .. อีกอย่างยิ่งใครอธิฐานเข้าสู่การปฏิบัติธรรมตามกำลังของตน หรือตามกำหนดวันเวลาของทางสำนักก็ยิ่งจะเป็นการดี หรือ ใครจะไปเฉพาะในวันขึ้น ๑๕ ค่ำก็ดีเช่นกัน หรือมีอะไรที่เราพอจะช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญยิ่งๆ ขึ้น ที่สำนักปฏิบัติธรรมภูนกหงส์หินนี้ได้ ก็จงพิจารณาเอาตามกำลังของตน
            นั่นจะเป็นการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งที่ดียิ่ง คือ ศีลธรรมคุณงามความดีที่สมควรยิ่ง จะยิ่งเป็นหนทางทำให้ความปรารถนาของท่านได้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ได้มากกว่าธรรมดาที่ไปบนบานศาลกล่าวทั่วๆไป.. ฯลฯ ..

ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลายทุกๆท่านเถิด ขออนุโมทนา สาธุ!


**


ตำนานภูนกหงส์หินโดยพิสดาร
มิตถิลานคร...   เมื่อครั้ง พระมหาโพธิสัตว์เจ้า ยังทรงเสวยพระชาติเป็น  ท้าวสุวรรณหงส์  ก่อนที่จะเข้าสู่พระเจ้าสิบชาติ  ตามมหาชาดกของพระพุทธเจ้าเรา ครานั้นพระองค์มีนกหงส์หินสองตนเป็นพาหะนะ เหาะเหินเดินฟ้า  ไปไหนมาไหนตามความปรารถนา เมื่อเรียกขึ้นก็มีชีวิตบินได้เหมือนนกหงส์ปรกติ   เมื่อลงจอดก็กลายเป็นหงส์หินโดยปาฏิหาริย์ แม้มิถิลานครจะกว้างใหญ่ไพศาลจนสุดโพ้นทะเลไกล พระองค์ก็สามารปกครอง ให้อยู่เย็นเป็นสุขได้ตลอดกาลแห่งพระชนมายุนับด้วยพันของพระองค์

ในยามแก่ชราจะละสังขารสิ้นไป ได้ฝากฝังบ้านเมืองไว้กับสหธรรมิก ผู้ซึ่งมีอายุยืนยาวเป็นจ้าวแห่งนาคาพิภพ ศรีสุทโธนาคราช ที่เฝ้าบำเพ็ญร่วมกันมานาน เจ้าพญาใหญ่จอมนาคารับคำแล้ว มหาโพธิ์จึงขึ้นสู่สวรรค์..  เวียนว่ายเข้าสู่พระเจ้าสิบชาติในกาลต่อมา..



ย้อนอดีตไป ราวๆ ๕,๐๐๐ ปี ก่อนพุทธกาล ( ห้าพันปีประมาณนั้น).. หลังจากที่ มิถิลานคร เสื่อมสิ้นไปตามกาลเวลา..  ที่หนองแสสร้าง หรือหนองกระแส แห่งอาณาจักรลาวล้านช้างสมัยก่อนพุทธกาล ครานั้นมีพญานาคใหญ่ สองตน เป็นเสี่ยวฮักกันมาก คือศรีสุทโธนาคราช และศรีสุวรรณนาคราช  มีบริวารฝ่ายละ ๕,๐๐๐ ตกลงไว้กันว่า แบ่งที่กันอยู่ฝ่ายละครึ่ง คนละฟากหนองแส ฝ่ายใดได้มีอาหารมาอย่างไร เท่าใดก็ตาม ให้แบ่งกันกินกันใช้  ให้ได้ฝ่ายละครึ่งนับเป็นความยุติธรรมเท่าเทียมกัน..ขึ้นชื่อว่าเสี่ยวนั้น ผูกพันกันยิ่งกว่าสายเลือด ไม่ใช่ธรรมดาอย่างที่เรียกล้อเลียนกันเล่นๆ 



อยู่มาวันหนึ่ง ฝ่ายพญาศรีสุทโธนาคได้ช้างตกหนองตายมาตัวใหญ่  จึงแบ่งครึ่งไปให้พญาสวรรณนาคราชตามข้อตกลงของเสี่ยวฮัก ก็เป็นที่พออกพอใจซึ่งกันอย่างอิ่มหนำสำราญ.. แล้วในวันต่อมา ฝ่ายพญาสุวรรณนาคได้เม่นมาตัวหนึ่ง ตามสัตย์ชื่อก็จึงแบ่งครึ่งไปให้ท่านศรีสุทโธนาคราชตามข้อตกลงของเสี่ยวฮักเช่นกัน..   แต่อนิจจา..เหตุการณ์ไม่ได้เป็นสุขอย่างที่คิด  เมื่อศรีสุทโธนาคราช เกิดความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ เนื่องจากไม่เคยเห็นเม่นมาก่อน ว่าทำไมมันจึงแบ่งมาให้กูน้อยนัก ไม่เท่าแม้แม่ไก่ด้วยซ้ำ ขนาดช้างกูขนเล็กนิดเดียวตัวมันยังใหญ่ขนาดนั้น แล้วนี่เม่นมันจะตัวใหญ่ขนาดไหน? ดูสิขนมันใหญ่และแข็งกว่าขนช้างของกูเป็นหลายเท่า ดังนั้นตัวเม่นมันก็ต้องใหญ่กว่าตัวช้างเป็นไหนๆ แบบนี้ไอ้ศรีสุวรรณมันโกงกูเป็นแน่แท้..
เพราะตนเป็นคนใจร้อน ไม่อาจจะรั้งรออะไรได้   ศรีสุทโธนาคราชเข้าไถ่ถามและถกเถียงเพื่อหาความเป็นธรรมกับศรีสุวรรณเสี่ยวฮัก ฝ่ายศรีสุวรรณนาคบอก.. เสี่ยวเอยเม่นนั้นขนมันใหญ่ก็จริง แต่ตัวมันเล็กนิดเดียว ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนช้างของเสี่ยวเด้อ!. 

แต่ศรีสุทโธนาค ไม่ฟังเหตุผลประการใด ด้วยใจมันร้อนเป็นไฟเสียแล้ว  ทำให้ทั้งสองต้องทะเลาะกันใหญ่โตมโหฬาร..    เกิดเป็นมหาสงครามแห่งสองพญาใหญ่ ผู้มีฤทธิ์ขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ .. ทั้งสามภพ
เดือดร้อนไปทั่ว ที่มนุษย์โลกโกลาหลไปทั้งฟ้าดินและแผ่นน้ำ แผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุร้าย ไฟมหากันต์
โรคระบาด สารพัดอย่าง คนและสัตว์ที่อยู่ใกล้ตายกันเป็นว่าเล่น แม้เทพเทวาในชั้นภูมิเดียวกันก็มิอาจจะต้านได้

ผู้มีฤทธิ์ใหญ่ฝ่ายละ ๕,๐๐๐ สู้เอาเป็นเอาตายซึ่งกันและกัน มิอาจจะมีใครห้ามได้เป็นกรรมใหญ่ของหนองแส ต้องขุ่นข้นเป็นโคลนตมเละ  ปูปลานาน้ำตายเกลื่อนอนาถ บางส่วนแห้งเหือดเดือดร้อนอัคคีภัยไฟลุก แล้งหนัก   ข้าวยากหมากแพง ซ้ำโรคระบาด โจรภัย บางแห่งไหวหล่ม ล่มสลายจมบาดาลไม่เหลือซาก สายน้ำภูเขา ทั้งยุบลงและ ยกตัวขึ้น เปลี่ยนทิศาทาง เปลี่ยนระดับกันเป็นว่าเล่น เพราะฤทธิ์แรงแห่งเจ้าบาดาลทั้งสอง
ในระหว่างสู้กันอยู่นั้น ศรีสุวรรณนาคแม้มิได้เป็นผู้ผิดแต่เริ่มต้นแต่เมื่อบารมีตนน้อยกว่า ย่อมเป็นฝ่ายเพี้ยงพล้ำบาดเจ็บล้มตายมากกว่า ทำท่าจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียแล้ว แต่จะยอมแพ้โดยสิโรราบนั้น มิได้แน่ ๆ ก็ตนมิได้เป็นฝ่ายผิดแต่แรกนี่ จึงคิดหาหนทางเพื่อรักษาตนเองและพวกให้กลับมีพลังอันมหาศาลแห่งฤทธิ์ขึ้นมาสู้ต่อให้ได้อีกครั้ง ..
เห็นแต่คำมิงฤๅษี อาวุโสดาบสผู้มีอายุอยู่ในถ้ำเฝ้าบำเพ็ญบารมีนิ่งอยู่ในองค์ฌานอันสงบแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่จะพอช่วยเหลือตนและเหล่าบริวารได้ จึงเร่งด่วนเข้าไปหา.. ฝ่ายฤๅษี ผู้ฝักใฝ่แต่ในองค์ฌาน มิได้ข้องเกี่ยวอะไรเลยกับเขา แม้เขาจะต่อสู้กันเป็นตายจนฟ้าดินถล่มทลายมาหลายปีก็ยังมิได้สนใจอะไร ออกจากฌานมาอีกทีเพราะมีผู้มาขอความช่วยเหลือ พิจารณาดูแล้วจะแล้งน้ำใจไม่ช่วยก็กะไรอยู่ ดูจะขัดต่อพุทธภูมิบารมีที่ตนปรารถนา แม้สอบถามดูก็รู้ต้นสายปลายเหตุ จึงว่า.. พวกท่านให้สัจจะกับเราได้หรือ ไม่ว่าเมื่อเรารักษาให้แล้ว
จะไม่ไปต่อสู้วิวาทกันอีกให้เดือดร้อนไปทั่วดังเดิม..  ฝ่ายศรีสุวรรณและบริวารรับคำ.. แต่ฤๅษี ผู้ที่ยังไม่พ้นอาสวะกิเลส เพียงแค่เกิดมาบำเพ็ญบารมีเท่านั้น จึงมีข้อแลกเปลี่ยนอีกอย่างว่า.. ขอลูกแก้วใสใหญ่ และใสเหลืองทองใหญ่ อย่างละลูก แลกกันเป็นค่าตอบแทน มิได้เป็นปัญหาเลยสำหรับเรื่องเพียงเท่านั้นสุวรรณนาคคายออกจากท้องตน ยกให้ไม่เสียดายดอก..แล้วการถ่ายพลังอำนาจรักษาอาการบาดเจ็บแก่สุวรรณนาคและเหล่าบริวารที่สำคัญจึงเกิดขึ้น.. จนเสร็จสิ้น..

ฝ่ายศรีสุโธนาคราช  เห็นสุวรรณนาคเพี้ยงพล้ำและเงียบหายไป  ก็หลงนึกดีใจว่า พวกตนเป็นฝ่ายชนะแล้ว สุวรรณนาคมันพ่ายแล้ว สงคราสงบแล้ว นิ่งแล้ว..     แต่ทว่า..เหตุการณ์กลับมิได้เป็นอย่างที่กำลังคิด  เมื่อสุวรรณนาคและเหล่าบริวารหวนกลับมาอีกครั้ง อย่างถล่มทะลาย ไม่ต่างอะไรจากเดิมที่เริ่มต่อสู้กันใหม่ๆ..   ทำให้ฝ่ายศรีสุทโธนาคราช ที่อ่อนกำลังจากสงครามอันยาวนานอยู่แล้ว ต้องลุกขึ้นมาสู้ใหม่อีกครั้ง   อย่างทุลักทุเล สาหัสสากันต์.. สุวรรณนาคไม่ได้รักษาสัจจะกับดาบสอย่างที่ตกลง มันหลอกแม้กระทั่งฤๅษีผู้ไม่ประทุษร้ายผู้ใด.. รวมเวลาแห่งการต่อสู้อันยาวนานถล่มทะลายนานถึง ๗ ปี ๗ เดือน กับอีก ๑๕ วัน ไม่มีใครแพ้ใครชนะ .. 
สู้กันอยู่นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๑๕ วัน ไม่มีใครแพ้ชนะเดือดร้อนถึงพระอินทร์ ต้องลงมาห้ามให้หยุดเดี๋ยวนั้น ไม่หยุดจะต้องถูกลงโทษหนักทั้งสองฝ่าย สงครามยุติลงด้วยเกรงอำนาจแห่งองอินทร์ แต่ในเมื่อยังไม่มีท่าที่ว่าใครจะยอมใคร พระอินทร์ เลยตัดปัญหาโดยใช้วิธีให้ขุด แม่น้ำสายใหญ่แข่งกัน ใครผู้ใดขุดได้ถึงทะเลก่อนผู้นั้นได้เป็นฝ่ายชนะ และจะได้รางวัลตอบแทน ฯลฯ

ผลสรุปออกมาว่า ฝ่ายพญาศรีสุทโธนาคราชและบริวาร เป็นฝ่ายชนะ  ขุดได้ไวกว่าเพราะความใจร้อน ไม่สนว่าต้องพิถีพิถันหรือหาความสวยงามอันใด  ที่ไหนยุ่งยาก เช่นภูเขากั้นขวาง ก็เลี่ยงหลีกออกข้าง ๆ ไปเสีย จึงทำให้เกิดเป็นทางน้ำหัก ๆ งอ ๆ คดโค้ง ไปจนถึงทะเลก่อน ได้ชื่อว่า แม่น้ำ โค้ง เรียกขานกันมายาวนานจนเพี้ยนเป็น แม่น้ำโขง ในปัจจุบัน
ฝ่ายพญาสุวรรณนาคราชผู้ใจเย็นกว่า กลับต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้  เพราะตนเป็นคนละเอียดอ่อนเลยช้า ขุดทั้งทีต้องให้ตรงให้งามแต่แล้วก็ไม่ถึงทะเล คือ แม่น้ำน่าน แต่ไม่รู้ว่าเป็น น่าน ที่เมืองไทยเรานี่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ? แต่น่าจะเป็นแม่น้ำเอ๋อ (น่าน) ที่เมืองจีนมากกว่า

ดังนั้น   พระอินทร์ก็เลยต้องทำตามสัญญา ให้แก่ผู้ชนะ คือได้ ปลาบึก เป็นรางวัลปลาบึก เป็นปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก สมัยโบราณมาจะมีอยู่ที่เดียวในโลก คือ ที่ลำน้ำโขง ไม่มีที่อื่นเลย แต่ปัจจุบัน ได้เกิดมีโครงการเพาะพันธ์ ด้วยการผสมเทียม ให้เลี้ยงได้เกลื่อนไปทั้งประเทศแล้ว แต่ให้รู้ว่า โบราณมามีในเฉพาะลำน้ำโขงเท่านั้น ไม่มีที่อื่นเลยในโลก
เท่านั้นยังไม่พอ ฝ่ายพญาศรีสุทโธนาคราช ยังได้ร้องขอพรจากองค์อินทร์อีก คือขอ ทางขึ้นทางลง เพื่อติดต่อกับโลกมนุษย์ เอาไว้อีกสามแห่ง คือ  ๑. ที่เมืองเวียงจันทร์  ปัจจุบันสันนิฐานกันว่า อยู่ใต้ฐานองค์เจดีย์พระธาตุหลวงเวียงจันทร์ ประเทศลาว  ๒. ที่หนองคันแทเสื้อน้ำ หรือที่ดอนจันทร์ เมืองลาว ตรงข้าม อ.ศรีเชียงใหม่ หนองคาย  ๓. ที่บริเวณ พรหมประกายโลก หรือ ที่เรารู้จักกันดี ในตำนาน คำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธาณี ในปัจจุบัน (ประวัติพิสดารต่างๆที่คำชะโนดนั้น หาดูได้ตามเน็ตทั่วไปครับ)




แต่เหตุการณ์มิได้จบลงเพียงเท่านั้น เมื่อฝ่ายพญาศรีสุทโธนาคราช และลูกสาวทั้ง ๗ ได้ทราบความว่าที่สุวรรณนาคมันไม่พ่ายแพ้และกลับมาสู้ใหม่ได้อีกครั้งนั้น เป็นเพราะมันได้รับพลังจากท่านคำมิงฤๅษี .. ซึ่งจริงก็เป็นสหธรรมิกกันทั้งนั้น จึงกริ้วโกรธเป็นอย่างมาก แต่ก็รำงับเอาไว้ได้  ด้วยเหตุทุกอย่างสมควรแก่การยุตติได้แล้ว  มิสมควรให้วุ่นวายอะไรต่อไป อีกย่างท่านคำมิงเองก็ไม่ได้รู้อะไรด้วย ช่วยสุวรรณนาคไปก็มิได้คิดว่าจะเกิดเรื่องอีก .. แต่ทว่า..บุตรตรีผู้มีฤทธิ์ทั้ง ๗ ของท่านพญาศรีสุทโธนาคราชนั้นเป็นอันไม่ยอมปล่อยท่านคำมิงฤๅษีง่ายๆ..“ ท่านทำอย่างนี้ได้อย่างไร ท่านช่วยมันทำไม ท่านเห็นแก่ลูกแก้วเพียงสองลูกเท่านั้นหรือ..ทำอย่างนี้ไม่ถูก..ท่านทำให้เราเสียหายย่อยยับ ทำให้เราอับอายขายหน้าไม่เป็นผู้ชนะในสงคราม ท่านต้องรับผิดชอบ

                แล้วการตามล่าและการต่อสู่ ระหว่างนางพญากับคำมิงฤๅษี ก็เริ่มขึ้นอย่างหลีก เลี่ยงมิได้ ใช่ว่าฤๅษีอยากจะต่อกรด้วยเพราะตนเป็นผู้บำเพ็ญ  แต่อย่างไรก็หนีไม่เคยพ้นเนื่องจากนางพญาทั้ง ๗ นั้น เป็นผู้มีฤทธิ์มาก เพื่อป้องกันตนเอง ฤๅษีจึงพลาดพลั้งยั้งไม่ไหว ต่อกรไปด้วยฤทธิ์ที่มากกว่า  ทำให้ทั้ง ๗ นางพญาบาดเจ็บ และพ่ายแพ้ไปทีละคนสองคน บางรายถึงแก่สิ้นลมหายใจ เพราะความไม่ลดราวาศอก ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ..
น่าสลดใจแก่ฤๅษียิ่งนัก ศีลที่เฝ้าบำเพ็ญมาเนิ่นนาน ขาดสะบั้นลงเสียแล้ว จากหนองแส สู่ลุ่มน้ำโขง คำมิงฤๅษีผู้ผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย  รอนแรมมาเรื่อยๆตามป่าเขาและสายธารแห่งแม่น้ำโค้งอันเชี่ยวโกรธ..
 คำมิงฤๅษีขอตัวรอนแรมบำเพ็ญมาเรื่อยๆจนล่วงสู่ เมืองปัญจิมนคร( เขตท่าอุเทน-คำชะอี นครพนม ) .. เข้าพำนักอยู่ถ้ำแห่งหนึ่งที่ ภูอีด่าง..  ซึ่งช่วงนั้น พันอินทร์ ผู้เป็นเจ้าเมืองและเหล่ามเหสี สนมนางนอกนางในตลอดจนอาณาบริวารทั้งหลาย ได้เข้าทำการสักการะและร่วมบำเพ็ญสมณะธรรมอยู่เสมอๆแต่อยู่ได้ไม่เท่าไหร่ ปัญจิมนครก็เกิดกบฏและสงคราม..
คำมิงฤๅษี ไม่อาจจะทำอะไรได้ เบื่อหน่ายไม่ขอยุ่งอะไรกับใคร ก็ห้ามแล้วมิได้มีใครอยากฟัง เข่นฆ่ากันแล้วได้อะไร โลภ โกรธ หลง  โลภะ โทสะ โมหะ สุดท้ายมีแต่บาปกรรม อันนำไปสู่ความตกต่ำ..จึงรอนแรมเดินเลียบลำโค้งลัดเลาะตามป่าเขามาเรื่อย ๆ จนถึงถิ่น  มิถิลานครเดิม  เมืองเก่าของพระมหาโพธิสัตว์เจ้า  ท้าวสุวรรณหงส์ เคยมาบำเพ็ญ และฝากเอาไว้กับท่านพญาศรีสุทโธนาคราชเมื่อครั้งก่อนจะนับพระชาติเข้าสู่ พระเจ้าสิบชาติ ตามชาดกดังกล่าวนั้น
                บัดนั้นมิถิลานครได้สิ้นไปแล้วไม่เหลือซากบ้านเมืองอะไร ก็นี่มันหลายร้อยหลายพันปีผ่านไปแล้ว  ความไม่เที่ยงเป็นของแท้ ความเสื่อสูญเป็นของจริง เกิดและดับสับเปลี่ยนกันไป ไม่มีอะไรแน่นอนและมั่นคงถาวรอยู่ได้ตลอดกาล.. ที่เห็นมีก็เป็นบ้านป่าบ้านเขานิดหน่อยๆเท่านั้นเอง..  แต่ท่านศรีสุทโธนาคราช ก็ยังถือสัจจะเป็นที่ตั้งอย่างซื่อสัตย์เสมอมา แม้หลายพันปี ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างไรไปก็ตามที  สัจจะคือสัจจะมิถิลานครไม่ได้เป็นเมืองคนก็เป็นเมืองพญานาคได้จะเป็นไรไป ทุกถ้ำผาป่าเขาลำเนาไพรที่มนุษย์เข้าไม่ถึง ก็จงให้เป็นถิ่นอาศัยของนาคและบังบดคนธรรพ์ลับแลไปเสียสิ้นเพียงถ้ำใหญ่ใต้ภูผาใจกลางเมืองเก่าเท่านั้น ที่เหลือ..ไว้เป็นที่พำนักของเจ้าพญาใหญ่เอง เมื่อยามมาดูแลตรวจตราความเรียบร้อยอยู่เสมอ.. บัดนี้ที่นี่ผู้คนเรียกกันว่า ภูนกหงส์หินหงส์หิน..  ทั้งสองยังเป็นหงส์หินตระหง่านอยู่อย่างองอาจสง่างาม ภูผาและถ้ำเขาแถบนี้น่าบำเพ็ญยิ่ง..ท่านคำมิงฤๅษีไป ณ ที่ถ้ำบำเพ็ญตนอยู่อย่างสงบ    
ถ้ำฤๅษี ณ ปัจจุบันนี้ ที่ภูนกหงส์





           บุญนำกรรมแต่งไว้โดยแท้  ถึงที่นี่ คำมิงฤๅษี จึงได้รู้ว่าเมื่อครั้ง มิถิลามหานครในอดีต ตนเคยได้เฝ้าบำเพ็ญตนเป็นดาบสนุ่งขาวห่มขาวอยู่ในถ้ำนอกเมืองที่ไม่ไกลนัก ในชาติปางก่อนมาแล้ว..ช่างไม่มีอะไรเป็นของเที่ยงจริงแท้ เมืองที่เคยกว้างใหญ่ไพศาลหาประมาณมิได้.. ตั้งแต่หนองแสสร้างไปจนสุดโพ้นทะเลไกล.. ท้าวสุวรรณหงส์บารมีมาก เป็นธรรมิกราชาผู้ใหญ่กว่าใครทั้งปวง ได้ทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง..บัดนี้รกร้าง ว่างเมือง.
เมื่อบำเพ็ญมาได้ระยะหนึ่ง. ในคราวนั้นมีฤๅษีตาไฟจากภูพร้าว มาท้าประลองวิชา แต่คำมิงดาบสไม่ใส่ใจ แพ้ชนะแล้วไง ได้อะไรขึ้นมา เป็นเพื่อนกันมิดีกว่าหรือ?  แม้กระนั้นยังมาอีกตนก็ไม่เป็นผลต่อการท้าทายอะไรอีก..  การประลองวิชชาของผู้มีฤทธิ์ มีองค์ฌาน ในครั้งกระโน้น ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาโดยแท้ ซึ่งท่านคำมิงฤๅษีเองก็ประลองมามากแล้วจนเกิดความระอาแก่ใจ แม้เทพเทวา อมรินทร์ อินทราธิราชเจ้า ก็ประมือกันมาแล้ว ไม่ได้อะไรดีขึ้นมา อย่าดีกว่า เสียเวลาบำเพ็ญสมณะธรรมเปล่าๆ!
คำมิงฤๅษี  เฝ้าบำเพ็ญตนจนวาระสุดท้าย ณ ที่แห่งนี้.. ภูนกหงส์หิน.. นาคราชได้จัดเก็บสังขารท่านไว้ ณ ที่ภายในถ้ำแห่งการบำเพ็ญ  ปิดถ้ำไว้ให้สนิทแต่นั้นมา ไม่รู้เคยเปิดอีกหรือไม่อย่างไร ข้าพเจ้ามิอาจทราบได้..จนปัจจุบัน.. ถ้ำฤๅษี..

**

กาลเมื่อพระบรมมหาโพธิสัตว์เจ้า นับเข้าสู่พระเจ้าสิบชาติแห่งพระบารมีตอนปลายจนเต็มเปี่ยมพร้อมแล้ว   ๑.พระเตมีย์ บำเพ็ญ เนกขัมมะบารมี  ๒.พระมหาชนก บำเพ็ญ วิริยะบารมี  ๓.พระสุวรรณสาม บำเพ็ญ เมตตาบารมี  ๔.พระเนมิราช บำเพ็ญอธิษฐานบารมี  ๕.พระมโหสถ บำเพ็ญ ปัญญาบารมี  ๖.พระภูริทัตต์ บำเพ็ญศีลบารมี  ๗.พระจันทกุมาร บำเพ็ญ ขันติบารมี    ๘.พระนารทะ บำเพ็ญ อุเปกขาบารมี   ๙.พระวิธุรบัณฑิต บำเพ็ญ สัจจะบารมี   ๑๐.พระมหาเวสสันดร บำเพ็ญ ทานบารมี.. เป็นอันครบพระบารมี ๑๐ ประการ ๓๐ ทัส พร้อมแล้วจักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ภัทรกัปนี้ เป็นกัปที่เจริญที่สุด   มีพระพุทธเจ้าได้ถึง ๕ พระองค์  ทรงตรัสรู้ไปแล้วถึงสามพระองค์  คือ    (๑) พระกะกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า  มีพระชนมายุได้ประมาณ ๔๐,๐๐๐ ปี   (๒) พระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า   มีพระชนมายุได้ประมาณ  ๓๐,๐๐๐  ปี      (๓)  พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า  มีพระชนมายุได้ประมาณ  ๒๐,๐๐๐  ปี..จากนั้น ภัทรกัปนี้ก็ว่างจากการมีพระพุทธเจ้ามายาวนานมากจากอายุที่ ๒๐,๐๐๐ ปี ขยับลดลงมาเรื่อย ๆ จนเหลืออายุเพียง ๑๒๐ ปี เป็นประมาณ
กาลบัดนี้เป็นกาลอันสมควร พระมหาโพธิสัตว์ที่เหลืออยู่อีกสองพระองค์ ในภัทรกัปนี้ จักได้มาตรัสรู้.. แต่พระองค์ใดเล่าจักได้เป็นผู้มาตรัสรู้ก่อนกัน..ระหว่างพระโคดมพุทธเจ้ากับพระศรีอาริยะเมไตรยพุทธเจ้า .. หากแม้นว่าพระโคดมพุทธเจ้า ได้มาตรัสรู้ก่อน ก็จะเป็นอันพอดีกับกาลนี้ที่มนุษย์อายุขัยกัปยังอยู่ในระหว่าง ๑๒๐ - ๑๓๐ ปี ยังไม่ลงต่ำสุด ยังไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสตัณหาเสียสิ้นจนฟังธรรมไม่รู้เรื่อง
ธรรมดาแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ได้ ก็ต่อเมื่อมนุษย์เสวยอายุอยู่ในช่วงลดลง ระหว่าง ๑๐๐,๐๐๐ (หนึ่งแสน) ปี ลงมาถึง ๑๐๐ (หนึ่งร้อย) ปี  เพราะเป็นช่วงที่จะมีดวงตาอันเห็น อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ได้ ดังพระพุทธวจนะที่ว่า ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม แต่ถ้าอายุมนุษย์มากกว่าหนึ่งแสน ปี ขึ้นไปโดยประมาณ พระพุทธเจ้าก็จะไม่มาตรัสรู้เลย  เพราะมนุษย์ มัวแต่เสวยสุขอยู่ ไม่รู้ทุกข์ร้อนประการใด   เมื่อมัวแต่สุขไม่มีทุกข์ให้เห็นชัด  ก็ย่อมไม่อาจจะเห็นธรรมได้เลยเช่นกัน..  ฉะนั้น มาตรัสรู้ไปก็ย่อมจะเสียประโยชน์เปล่า และถ้าอายุมนุษย์อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่า หนึ่งร้อยปีลงมาโดยประมาณ .. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะไม่มาตรัสรู้ให้เสียประโยชน์ เปล่าเช่นเดียวกัน  เพราะมนุษย์มัวแต่ทุกข์ถม เมามัวมืดบอด อยู่ในกิเลสตันหาอันหนักหน่วง จนไม่สามารถจะฟังพระสัจธรรมได้รู้เรื่องอีกเช่นกัน อย่างคนทุกวันนี้ แม้จะฟังธรรมกันอยู่ทุกวัน วันละหลายๆรอบ แล้วมีสักกี่คนหละหรือ ที่ได้มรรคได้ผล ตามพระสัจธรรมที่เฝ้าฟังอยู่   แม้นับด้วยหลายสิบล้านคน ก็จะหาได้สักคนหนึ่งก็แสนยาก ฉะนั้น! แม้นท่านมาตรัสรู้ไปก็ย่อมเสียประโยชน์เปล่า  ได้ไม่เท่าเสียนั่นเอง

ดังนั้นกาลที่เหมาะสมที่สุด คือ อายุมนุษย์ลดลงมาจากอสงไขยนับไม่ได้ แล้วประมาทในกุศล มัวแต่สุขสบาย อายุจึงลดต่ำลงมาเรื่อยๆจากที่นับไม่ได้ก็มาเริ่มนับได้ จากที่นับได้มากมาย ก็ลดน้อยลงมาอยู่ในระหว่าง ๑๐๐,๐๐๐ ปีลงมาถึง ๑๐๐ ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ เหล่ามนุษย์ทั้งหลาย กำลังเริ่มเห็นความเสื่อมไม่เที่ยงแท้แน่นอน อนิจจัง อนิจจา ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ของรูป นาม ร่างกาย จิตใจ .. ฯลฯ ..  จึงจะฟังอริยสัจธรรมรู้เรื่อง เป็นอันไม่เสียประโยชน์เปล่า แห่งการตรัสรู้ ก็การตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์นั้น..  เพื่อนำเหล่าเวไนยสัตว์ผู้มีธุลีในดวงตาอันน้อย ได้มีโอกาสพ้นทุกข์ พ้นสงสาร.. เผาผลาญกิเลสร้ายให้สิ้นเชื้อ ตรัสรู้ตามสู่นิพพาน อันเป็นแดนบรมสุขไม่มีทุกข์เจือปน ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดให้เป็นทุกข์เป็นร้อนในโลกนี้อีก ..

ดังนั้น!การที่จะให้เสียประโยชน์แห่งการตรัสรู้ ที่อุตสาหะอดทนบำเพ็ญมาตั้งนานแสนนานนั้นย่อมเป็นไปมิได้เลย  ๒๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป ด้วยพระปัญญาบารมีของพระสมณะโคดมพุทธเจ้าและ ๘๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป ด้วยพระวิริยะบารมี ของพระศรีอาริยะเมตไตรยพุทธเจ้า ในกาลครั้งนี้แห่งพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ผู้ใดเล่า ระหว่างสองพระองค์นี้ จะได้มาตรัสรู้ทำหน้าที่ พระบารมีตอนนี้ก็ถึงพร้อมทั้งสองพระองค์ หากผู้หนึ่งมาก่อนอีกผู้หนึ่งก็ต้องมาหลัง จะพร้อมกันไม่ได้เลย
ดังนั้น!.. สองพี่น้องมหาโพธิสมภารเจ้า  จึงต้องมีการตั้งสัจจะอธิฐานเสี่ยงทายไว้เป็นหลักฐาน ตำนานแห่งพุทธภูมิการมาตรัสรู้เป็นองค์ที่ ๔ และ ๕ นี้   ตกลงกันแล้วดังนั้น จึงเลือกที่จะอธิฐานเสี่ยงพระบารมีกันที่ หน้าผาด้านทิศตะวันออกของภูนกหงส์หิน แห่งมิถิลานครเดิม เพราะเป็นที่ที่ ทั้งสองท่านเคยบำเพ็ญพระบารมีตน มาแต่ก่อนด้วยบัวตูมสองดอก .. ผลปรากฏออกมาว่า ดอกบัวของพระโคดมกลายเป็นบัวทองบานก่อน ส่วนของพระศรีอาริยะเมตไตรย กลายเป็นบัวเงินแต่ยังไม่บาน เป็นอันรู้ว่าผู้ใดจะได้มาทำหน้าที่เป็นองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้ คือพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี่เอง

ทั้งสองพระองค์ เมื่อเสร็จภารกิจแห่งการเสี่ยงพระบารมีแล้ว จึงได้ทรงอธิฐานเก็บดอกบัวเสี่ยงทายทั้ง ๒ ดอกนั้นให้เป็นหิน ตั้งไว้ตรงหน้าผาแห่งนั้น..  จึงเป็นหน้าที่ของพญาศรีสุทโธนาคราช และเหล่าบริวารกับเหล่าบังบดลับแล  ตลอดจนมนุษย์  และเทวดาทั้งหลายผู้มีหน้าที่ ต้องเก็บรักษาเอาไว้ สืบต่อกันตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ทุกวันนี้เรียกกันว่า หอพระธาตุดอกบัวคู่ ภูนกหงส์หิน   เป็นถิ่นฐานสักการบูชา ของผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาได้ แวะเวียนมาเพื่อกราบไหว้ อธิฐานเสี่ยทายบารมี ของตน..  ขอความสำเร็จ ต่างๆ ตามความมุ่งมาตรปรารถนาแห่งตน มาจนทุกวันนี้.. ปู่ท่านจึงว่า นั่นแหละคือตำนานแห่งชื่อที่แท้จริงของ อุบล เมือง ดอกบัว  เหตุเพราะดอกบังสองดอกนี้เอง แต่จริงๆแล้วคนส่วนมากไม่ได้รู้กันมาก่อนเลย    เพราะก่อนนี้ยังมิได้ถึงการอันควรแก่การเปิดเผย แต่บัดนี้ ถึงเวลาแล้ว ที่ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังอีกต่อไป.. เพื่อหนทางแห่งการพ้นจากวินาศภัยในกึ่งพุทธกาล ที่จะมาถึงในเวลาอันใกล้นี้  ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ไม่ว่ากัน
พระธาตุดอกบัวคู่ ปัจจุบัน

                จากการเสี่ยงทายนั้น  ถือได้ว่าเป็นโชคดีของเหล่าสัตว์อย่างพวกเรา  ในยุคที่มีอายุสั้นเพียงน้อยนิดแค่ ๑๒๐ ปีโดยประมาณนี้ ( เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีก่อนโน้น  แต่ทุกวัน นี้ไม่ใช่แล้วเด้อ แค่ ๗๐ ปีก็ยังยาก ) ที่ว่าโชคดีก็เพราะธรรมดาแล้ว ยากยิ่งนักหนา ที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในช่วงที่มนุษย์มีอายุน้อยๆอย่างนี้..ส่วนมากก็จะมาในช่วงที่อายุมนุษย์เป็นพันๆหมื่นๆแต่ไม่เกินแสนทั้งนั้น กาลนี้หากว่าดอกบัวพระศรีอาริยะท่านเกิดบานก่อน ก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้แน่ที่ช่วงเวลาแห่งเราที่มีอายุน้อยๆครั้งนี้จะได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนาให้เห็นอริยสัจ เห็นมรรค เห็นผล กันได้.. เพราะตามพระบารมีขององค์สมเด็จพระศรีอาริยะเมตไตรยแล้ว ท่านจะต้องมาในช่วงที่มนุษย์อายุได้ ๘๐,๐๐๐ปี (แปดหมื่น ไม่เกินหนึ่งแสนปีโดยประมาณ) เพราะพระองค์สั่งสมพระบารมีมามากเป็นที่สุดกว่าผู้ใดในภัทรกัปนี้ คือ ๘๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัปต้องเวียนว่าตายเกิด บำเพ็ญตนทนอยู่มา จนจักรวาลโลกธาตุนี้แตกดับไปแล้วเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน  อย่างน้อยๆท่านมา ๘๐ อสงไขย จักรวาลโลกก็อาจจะเกิดๆดับๆถึง ๘๐ ครั้งก็เป็นได้.. เพราะท่านมาแบบวิริยะบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ ที่ต้องใช้ความเพียรมากยิ่งกว่าผู้ใด ในบรรดาเหล่าผู้ปารถนาพุทธภูมิด้วยกัน เป็นหลักในการบำเพ็ญสร้าง
ซึ่งเทียบกับ  องค์พระโคดมพุทธเจ้าของเรานี้ ต่างกันมาก    องค์นี้ท่านมาแบบพระปัญญาบารมี   คือ ใช้ปัญญามากในการบำเพ็ญตน  เมื่อใช้ปัญญามาก  ก็ต้องใช้เวลาน้อยที่สุด ๒๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป จึงถือว่าบำเพ็ญมาสั้น   บารมีจึงเทียบพระศรีอาริย์มิได้ เมื่อบารมีน้อยก็ต้องมาตรัสรู้ในช่วงอายุมนุษย์มีเพียงน้อยนิดนี้เช่นกัน ดังนั้นหากองค์ที่ ๔ เป็นพระศรีฯกาลนี้ก็ต้องผ่านไปก่อนจนกว่ามนุษย์จะมีอายุลดลงมาต่ำสุด
๕ ขวบ ๑๐ ขวบ มิคสัญญีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานจนสิ้นสุดสำนึกบาปได้ กลับมารักษาศีลรักษาธรรมกันใหม่อีกครั้ง  แล้วพัฒนาขึ้นมาใหม่อีก  จนอายุเป็นร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน จนเป็นอสงไขยปี นับไม่ได้แล้วประมาทตนอีกทำให้อายุลดน้อยลงมาเรื่อยๆจนเหลืออยู่ที่ ๘๐,๐๐๐ ปี โดยประมาณ เป็นช่วงที่มนุษย์ฟังธรรมแล้วได้มรรคได้ผลมากพระศรีอาริยะจึงจะได้ลงมาตรัสรู้เป็นองค์ที่ ๔ ผ่านไปแล้วจึงจะมีองค์ที่ ๕ ได้ แหละกาลที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาตรัสรู้นั้น จะเหลื่อมพระบารมีกันไม่ได้เลยแม้แต่นิด  เพราะจะเป็นการขัดแย้งศรัทธาของผู้นับถือให้เสียประโยชน์เปล่า   จึงต้องรอให้ แต่ละกาลของพระพุทธศาสนาเก่าเสื่อมสิ้นยุคไปก่อน ต้องผ่านเข้าสู่ยุค ฤๅษีชีไพรยุคพระปัจเจกพุทธเจ้า จนพัฒนามาสู่พวกพราหมณ์ที่เป็นพื้นฐานแห่งผู้เชื่อ  ในการเวียนว่ายตายเกิด นรกสวรรค์บาปบุญคุณโทษและได้เป็นผู้รักษาคัมภีร์ไตรยเพท คือคัมภีร์ บอกพุทธลักษณะมหาบุรุษเอก ของโลก จากท้าวมหาพรหม  มาสอนให้เรียนต่อๆกันไว้นับเป็นแสนปีเสียก่อน  จะต้องไม่มีผู้ใดตรัสรู้ได้อีกเลยสักคน  ถือว่าโลกนี้ว่างจากพระพุทธศาสนาจริงๆ จึงจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ลงมาตรัสรู้สงเคราะห์แก่โลกได้  ดังนั้น หากพระโคดมต้องมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ กาลเวลาแห่เราในยามนี้ก็ย่อมน่าเศร้าเป็นแน่แท้ โลกที่เจริญด้วยเทคโนโลยี่อันฟุ้งเฟ้อนี้ คงไร้ศีลธรรมกันเป็นว่าเล่น ดูเอาเถอะ อะไรจะเกิดขึ้นกับเราในโลกยามนี้ ถ้าหากไร้ซึ่งพระพุทธศาสนา ..
                แต่เราโชคดีอย่างไม่น่าเชื่อ.. เมื่อพระสิทธัตถะ ศากยะมุนีมหาบรมโพธิสัตว์ออกบวช ครานั้นท่าน
มุจลินทร์นาคราช ก็ได้ขึ้นมาแผ่พังพานปกป้องพระองค์ให้พ้นจากฟ้าฝน ที่โหมกระหน่ำมา  ซึ่งถ้าตามที่ท่านปู่เท่ห์บอกไว้  ท่านมุจลินทร์นี้ได้ชื่อว่าเป็นปู่ทวดของท่านศรีสุทโธนาคราช  นั่นเอง ..
ครั้นพระมหาโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้เป็นพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้เผยแผ่พระสัจธรรมไปทั่วชมพูทวีปจนพร้อมมีภิกษุ สามเณร ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พุทธบริษัท ๔ พร้อมแล้ว .. ท่านศรีสุทโธนาคราช ผู้ที่เฝ้ารอคอยมานานแสนนานหลายกัปหลายกัลป์ ก็ใคร่ขึ้นมาขอบวชเป็นภิกษุ ตามตำนานนาคขอบวชว่าไว้ว่า ..

**

เรื่องนาคแปลงกายเป็นมนุษย์มาบวช ( คัดลอก จากพระไตรปิฎก )

           [๑๒๗] ก็โดยสมัยนั้นแล  นาคตัวหนึ่งอึดอัดระอา เกลียดกำเนิดนาค จึงนาคนั้น ได้มีความดำริว่า ด้วยวิธีอะไรหนอ เราจึงจะพ้นจากกำเนิดนาคและกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน   ครั้นแล้วได้ดำริต่อไปว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยะบุตรเหล่านี้แล   เป็นผู้ประพฤติธรรม   ประพฤติสงบ   พระพฤติพรหมจรรย์  กล่าวแต่คำสัตย์   มีศีล  มีกัลยาณธรรม    หากเราจะพึงบวชในสำนักพระสมณะ   เชื้อสายพระศากยบุตร  ด้วยวิธีเช่นนี้ เราก็จะพ้นจากกำเนิดนาค และกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน  ครั้นแล้วนาคนั้น จึงแปลงกายเป็นชายหนุ่ม แล้วเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายจึงให้เขาบรรพชาอุปสมบท   
สมัยต่อมา  พระนาคนั้นอาศัยอยู่ในวิหารสุดเขตกับภิกษุรูป  ๑  ครั้นปัจจุสมัยแห่งราตรีภิกษุรูปนั้น  ตื่นนอนแล้วออกไปเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ครั้นภิกษุรูปนั้นออก ไปแล้ว พระนาคนั้นก็วางใจจำวัด(หลับ) วิหารทั้งหลังเต็มไปด้วยงู ขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง  ครั้นภิกษุรูปนั้นผลักบานประตูด้วยตั้งใจจักเข้าวิหารได้เห็นวิหารทั้งหลังเต็มไปด้วยงู    เห็นขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง   ก็ตกใจ   จึงร้องเอะอะขึ้น.
           ภิกษุทั้งหลายพากัน วิ่งเข้าไปแล้วได้ถามภิกษุรูปนั้นว่า  อาวุโส  ท่านร้องเอะอะไปทำไม. ภิกษุรูปนั้นบอกว่า  อาวุโสทั้งหลาย วิหารนี้ทั้งหลังเต็มไปด้วยงูขนดยื่นออก ไปทางหน้าต่าง.   ขณะนั้นพระนาคนั้น ได้ตื่นขึ้นเพราะเสียงนั้น  แล้วนั่งอยู่บนอาสนะ
ของตน       ภิกษุทั้งหลายถามว่า   อาวุโส ท่านเป็นใคร ?   นาคผมเป็นนาค  ขอรับ.         ภิกษุอาวุโส  ท่านได้ทำเช่นนี้ เพื่อประสงค์อะไร ?    พระนาคนั้นจึงแจ้งเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่อง นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
           ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์     ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น   ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น    แล้วได้ทรงประทานพระพุทโธวาทนี้แก่นาคนั้นว่า   พวกเจ้าเป็นนาค  มีความไม่งอกงามในธรรมวินัยนี้ เป็นธรรมดา  ไปเถิดเจ้านาค  จงไปรักษาอุโบสถในวันที่   ๑๔   ที่   ๑๕   และที่      แห่งปักษ์ (วันพระข้างขึ้นข้างแรม)
ก็นาคตนนั้นเป็นใครกันเล่า ท่านปู่เท่ห์ว่าไว้ว่า คือ ท่านพญาศรีสุทโธนาคราชนี้เอง .. เมื่อได้รับหน้าที่ดังนั้นแล้ว ท่านพญาใหญ่ ก็กลับมาปรึกษาหรือกับเหล่าเสนาอมาตย์และเหล่าบริวารทั้งหลายของตน..  บัดนี้ เราได้รับพรเป็นผู้อาสารับใช้พรพุทธศาสนาแล้ว พวกเราจะต้องร่วมมือร่วมใจกัน..ปรึกษาหารือกันแล้วจึงได้ตกลงส่งมหาอมาตย์ขาวปู่เฒ่า อาวุโส ผู้มีฤทธิ์ มีบารมีธรรมมากที่สุดสมควรแก่การเกิดเป็นมนุษย์ได้ ในบรรดานาคาทั้งหลายแห่งตน อาสาขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์ก่อนใครๆ เมื่อเกิดแล้วต้องเข้าบรรพชา  บำเพ็ญกุศลแก่เหล่านาคทั้งหลายผู้รอคอยอยู่เบื้องหลัง  ได้กุศลแล้วทยอยเกิดตามมาสู่ร่มพระพุทธศาสนาตามลำดับ ตราบจนทุกวันนี้ สองพันกว่าปี
ท่านปู่เท่ห์ เล่าว่า ท่านเกิดมาแล้วได้บวชเป็นลูกศิษย์ ท่านมหากัสสปเถระเจ้าผู้มีอายุ ครั้งนั้นท่านปู่มีนามว่า  พระอุตระเถระ ติดตามพระมหากัสสปะไปในทุกหนแห่ง  ที่สำคัญได้อัญเชิญ พระบรมสารี อุรังคะธาตุ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาสร้างเป็นพระธาตุพระนม องค์พระปฐมต้นแห่งพระธาตุก่อนใครทั้งมวล..

ในที่นี้ข้าพเจ้า  ขอยกเอาบางส่วนของ  หนังสือตำนานพระอุรังคะธาตุ (พระธาตุพนม)มากล่าวสักเล็กน้อย หากผู้ใดอยากทราบเนื้อหาโดยพิสดารมากกว่านี้ ขอให้ไปหาเอาจาก ตำนานพระอุรังคะธาตุฉบับเต็มก็แล้วกัน ข้าพเจ้านำมาจากหนังสือเล่มนี้ครับ


จากตำนาน เล่มนี้ หน้าที่ ๒๔ ข้อที่ ๑๒ ว่าไว้ว่า
  
๑๒. เสด็จไปประทับดอยแท่น
   ครั้นพระพุทธองค์  ทรงเทศนาแก่พญาสุวรรณภิงคาร
ดังนั้นแล้ว จึงเสด็จขึ้นดอยลูกหนึ่ง ข้างในเป็นดังคูหา คนทั้ง
หลายขึ้นไปดอยลูกนั้น มองเห็นหนองหารหลวง และหนอง
หารน้อย มองเห็นเมืองศรีโคตรบูรและภูกำพร้า พญาสุวรรณ
ภิงคาร  จึงได้สังวาลทองคำหนัก ๓๐๐,๐๐๐ (สามแสน)  เป็น
ทานแก่คนทั้งหลาย ที่มีกำลังสามารถก่อแท่นหินมุกโดยพลัน .. แล้วพระพุทธองค์จึงเสด็จขึ้นพระแท่น ระลึกถึงพระมหากัสสปเถระ  พระมหากัสสปเถระก็มาเฝ้า..
พระพุทธองค์   ตรัสแก่พระมหากัสสปะเถระเป็นบาลีว่า  “ อุรงฺคธาตุ กสฺสป กปณคิริ อปฺปตฺตถา ” ดังนี้ แล้วจึงผินพระพักเฉพาะซึ่งภูกำพร้า ตรัสว่า “ดูรากัสสปะ ตถาคต นิพพานไปแล้ว  เธอจงนำเอาอุรังคธาตุตถาคต ไว้ที่ภูกำพร้านี้   อย่าได้ละทิ้งคำตถาคตสั่งไว้นี้เสีย  พระมหากัสสป เมื่อได้ยินดังนั้น ก็ชื่นชมยินดี ยกอัญชลีขึ้นว่า  สาธุ สาธุ ดังนี้ แล้วกลับไปยังที่อยู่ของตน
๒๔. ทรงปรารภการบูชา แล้วนิพพาน (ข้อที่ ๒๔ หน้าที่ ๓๐)
ดูราอานนท์เอย   บุคคลบูชาตถาคตและศาสนาที่ตถาคตตั้งไว้ ด้วยดอกไม้ธูปเทียนนั้น เชื่อว่ามิได้บูชา..   ส่วนบุคคลบูชาได้ชื่อว่าบูชานั้น ตถาคตจะสั่งเธอไว้   ภิกษุสามเณร หรือ คฤหัสถ์ก็ตาม   ที่ปฏิบัติถูกต้องตามคำสั่งสอนของตถาคต  ถึงแม้ว่าไม่มีเครื่องสักการะก็ตาม  เป็นแต่เพียงมีจิตเลื่อมใส  เชื่อในคุณพระรัตนตรัย
ไหว้นพแต่มือเปล่าๆก็ได้ชื่อว่าบูชาอันประเสริฐยิ่งกว่าประเสริฐ เมื่อพระองค์ตรัสสั่งกับพระอานนท์ ดังนี้แล้ว  จึงอธิฐานว่า..“ เมื่อใดกัสสปะ ยังไม่มารับเอา อุรังคธาตุ ไปไว้ที่ดอย กปณคีรี ไฟธาตุอย่าได้ไหม้ตถาคต ”  ทรงอธิฐานแล้วเสด็จไปสู่นิพพาน
๒๕. กษัตริย์มัลลราชจัดการพระบรมศพ
ครั้งนั้น กษัตริย์มัลลราชทั้งหลายได้ทราบซึ่งสาเหตุว่า   พระศาสดาเสด็จไปสู่นิพพาน    ก็พร้อมกันมาสักการบูชา โสรจ สรงน้ำพระบรมศพ  (ด้วยน้ำสุคนธรส ของหอม) แล้วเชิญพระบรมศพเข้าพระหีบทอง ประดิษฐานไว้บนเชิงตะกอน   แล้วทำการถวายพระเพลิง เป็นหลายครั้งหลายหน ก็ไม่สามารถทำลายพระบรมศพได้   ทันใดนั้นพระมหากัสสปะก็มาถึง  และ เข้าไปทำการสักการะ    ขณะนั้น พระศาสดาทรงทำการปาฏิหาริย์  ให้พระบาทเบื้องขวา  ยื่นออกมาจากพระหีบทอง   เพื่อให้พระมหากัสสปะ(ได้) ทำการสักการะ
๒๖. พระอุรังคธาตุทำปาฏิหาริย์
ในขณะนั้น  พระอุรังคธาตุที่หุ้มห่อด้วยผ้ากัมพลก็  ปาฏิหาริย์   เสด็จออกจากพระหีบทองมาประดิษฐานอยู่เหนือฝ่ามือเบื้องขวา ของพระมหากัสสปเถระอัครสาวก ทันใดนั้นไฟธาตุ ก็บังเกิดลุกเป็นเปลวขึ้น ทำลายพระสรีระของพระศาสดา


   ๒๗. พระธาตุที่เหลือจากไฟ
ส่วนพระบรมธาตุกระโบงหัวนั้น   ฆฏิการพรหม   นำเอาไปประดิษฐานไว้ในพรหมโลก พระธาตุแข้วหมากแง(พระเขี้ยวแก้ว) โทณพราหมณ์เอาไปซ่อนไว้ที่มวยผมพระอินทร์นำเอาไปประดิษฐานไว้ในชั้นดาวดึงส์ พระธาตุกระดูกด้ามมีดนั้น (พระธาตุรากขวัญ) พญานาคนำเอาไปประดิษฐานไว้ที่เมืองนาค  พระบรมธาตุ ที่ออกนามมาข้าง บนนี้  มิได้เป็นอันตรายด้วยพระเพลิง  ยังปรกติอยู่ตามเดิม   ส่วนพระบรมธาตุนอกนั้นย่อยยับไปเป็นสามขนาน         ใหญ่เท่าเม็ดถั่วกวาง(ถั่วแตก)         ขนานที่ ๒ ขนาดเม็ดข้าวสารหัก  ขนานที่ ๓ ขนาดเมล็ดพันธุ์ผักกาด         พญาอชาติศัตรู นำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำสัตปัณคูหา      ( กษัตริย์อื่นก็ได้รับแบ่งนำไปประดิษฐานไว้  ณ นครของตน ๆ ส่วนอุรังคธาตุนั้น พระมหากัสสปเถระเจ้า จักนำไปประดิษฐานไว้  ณ ดอยกปณคีรี  ในแขวงเมืองศรีโคตบุรี ตามคำสั่งพระพุทธเจ้าสั่งไว้เมื่อก่อนนั้นแล )
๒๘. ข่าวการเสด็จปรินิพพาน
ครั้งนั้น ท้าวพญาทั้หลาย  มีพญาจุลณีพรหมทัต  พญาอินทปัฐนคร  พญานันทเสน  พญาสุวรรณภิงคาร และ พญาคำแดง รู้ข่าวว่าพระมหากัสสปเจ้านำพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ที่ถูกำพร้า  ดังนั้น พญาจุลณีพรหมทัต  พญาอินทปัฐนคร และ พญานันทเสน ทั้ง ๓ พระองค์ พร้อมด้วยไพร่พลโยธา    เสด็จมาประทับและพักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำธนนที ใต้ปากเซ ที่นั่นจึงตรัสสั่งให้ไพร่พลโยธาทั้งหลายองค์ละ ๕๐๐คน  สกัดหินมุกมาสร้างอาราม ไว้คอยท่านพระมหากัสสปะเถรเจ้า
... ฯลฯ ... *****



 ครับท่านทั้งหลาย  แหละนั่นก็ คือ จุดกำเนิดของการได้เริ่มสร้างพระธาตุพนมไว้ให้เรากราบไว้กันครั้งแรก แต่นั้นมา    ซึ่งตามตำนานกล่าวไว้อีกมากมายในช่วงแห่งการสร้าง อันมีพระมหากัสสปเถรเจ้าเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และเจ้าพญาทั้ง ๕ เป็นประ ธาน ฝ่ายฆราวาส ในครั้งนั้น ซึ่งข้าพเจ้าได้มาศึกษาก็ด้วยเหตุบังเอิญได้หนังสือมาอ่าน
ข้าพเจ้าเองไม่เคยคิด ว่าจะมีตำนานที่บันทึกไว้อย่างนี้ อาจจะมิใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับท่านอื่นๆ แต่สำหรับข้าพเจ้าแปลกตรงที่ ข้าพเจ้าเป็นคนอีสานลูกลาวข้าวเหนียวแท้โดยกำเนิด รู้ความมาก็เห็นแต่ชาวบ้านเขาไปไหว้พระธาตุพนมกันลึ่มๆทุกปีๆ  แต่ข้าพเจ้ามิเคยได้ไปเลยสักครั้งเดียว  มิเคยได้ศึกษาด้วยซ้ำว่า  ตำนานเก่าแก่ของพระบรมธาตุพนมนั้น มีความเป็นมาอย่างไร? พอปู่มาสื่อสารนี่แหละถึงได้ไปกราบไหว้ เมื่อเดือนกุมภา ๕๓ ที่ผ่านมาหลังจากไปท่องเหนือมาคราวนั้น  แต่นั่นก็มิได้ตำนานมาด้วยหรอก .. 
     มาได้จากท่าน  พระครู  ศรีสุตา ลังการ  เจ้าคณะตำบลแก้งเหนือ วัดพิชโสภาราม วัดสว่างอารมณ์ บ้านนาขนัน ต.แก้งเหนือ  อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี   ซึ่งเมื่อช่วงนั้น ๑๓ – ๑๔ มิ.ย. ๕๓  ได้พาเพื่อนไปบวชกับท่าน เห็นมีอยู่ที่ตู้หนังสือท่านก็เลยขอท่าน เพราะใคร่อยากอ่าน ท่านเลยเมตตาให้มา   แต่ก็อ่านเพียงคร่าวๆ แล้วเก็บไว้เป็นอย่างดี มาตั้งใจอีกทีก็ตอนนี้ที่กำลังบันทึกอยู่นี่แหละ ถึงได้รู้ว่าที่ท่านปู่กล่าวไว้นั้นมันมีส่วนอยู่ในตำนานจริงหรอกหรือนี่!..   ท่านบอกท่านเป็นลูกศิษย์  พระมหากัสสปะ มีชื่อว่า พระอุตตระเถระ และได้เป็นหนึ่งในผู้สร้างพระธาตุพนมในครั้งแรกนั้น
   มีครั้งหนึ่งก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะได้ศึกษาตำนานเก่าพระอุรังคธาตุนี้ ข้าพเจ้าได้เอาตำนานเล่มหนึ่งเป็นเรื่องจากนิมิตพิศวง ที่เล่าเกี่ยวกับตำนานการสร้างพระธาตุพนม ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ใครเป็นผู้สร้าง อยู่ที่ไหนยังไง?  .. “ ปู่ๆนี่นิมิตพระธาตุพนม ปู่เป็นใครในเรื่องนี้? ” .. “ เฮ้ย! นิมิตขี้ตั๋ว กูสร้างแทบตายไม่มีชื่อกูบอกไว้เลย ” ..
   ข้าพเจ้าฟังแล้ว  ก็เป็นงงๆอยู่ ทำไมท่านถึงตอบเช่นนี้ หรือว่าปู่โกหก กลัวขายหน้าเลยตอบข้างๆคูๆไปงั้นๆ แต่ก็อีกนั่นแหละเพราะไม่ว่าจะเป็นทิพย์(ร่างทรง) หรือปู่ ในกลุ่มของพวกเรานอกจากข้าพเจ้าแล้ว ก็ไม่เคยมีผู้ใดได้อ่านนิมิตเล่มนั้นมาก่อนอย่างแน่นอน ในนิมิตนั้น บอกสร้างพระธาตุในปี ๕๓๐ ซึ่งไม่ได้อยู่ในสมัยพระมหากัสสปเถระเจ้า ที่อยู่ในสมัยพุทธกาลโดยตรง ซึ่งพอข้าพเจ้าได้มาอ่านตำนานเดิมพระอุรังคธาตุแล้ว    จึงได้เห็นว่า ท่านพระมหากัสสปเถระ และเหล่าภิกษุบริวารเป็นผู้นำมาสร้างโดยตรงกับมือท่านเอง มิได้อยู่ในสมัยหลังมา ๕๓๐ ปี อย่างที่ในนิมิตว่าไว้เลย แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าคนโบราณนั้นกลัวบาปกลัวกรรมนักหนาโดยเฉพาะบูรพาจารย์ต่างๆนั้น ย่อมจะหาเรื่องมาบันทึกเป็นการโกหกกันไว้นั้นคงจะเป็นไปได้ยากยิ่ง แต่ที่แน่ๆในตำนานเข้าทางเดียวกับท่านปู่เท่ห์(เสถียร)  ที่มาบอกเอาไว้



เอ้อ!ลืมบอกไปว่าที่ได้พาเพื่อนไปบวชกับท่านพระครูศรีสุตาลังการนั้น เพราะได้นำพาเพื่อน ไปพักจิตพักใจที่ภูนกหงส์หินก่อนวันบวชอยู่สามสี่วัน พาเดินเที่ยวชมที่ต่างๆไปเรื่อยๆจนได้ไปเจอข้อความที่ท่านปู่เขียนไว้บนผนังถ้ำด้านบน เมื่อสมัยท่านมาอยู่ใหม่ๆ สุขขํ  ละยึด     ทุกขํ  คือ ความอยาก  เลยเกิดความปีติยินดีขึ้นมาอย่างแรงกล้า อยากบวช  ที่หลังภูคืนนั้นจึงใคร่ครวญตัดสินใจ  พอดีพบสิริฤๅษี จึงพาไปหาเจ้าคุณวัดพิชโสฯ     นั่นคือ อานิสงส์ถ้ำโลกุตระของปู่   เพื่อนเลยได้บวชในที่สุด




ณ ที่ถ้ำแห่งนี้ ในอดีตชาติปู่เคยได้ธุดงค์เข้ามาบำเพ็ญภาวนาสมณะธรรมแล้วซึ่งท่านปู่ได้สลักอักษรย่อชื่อตนไว้ ที่ไหล่ภูชั้นที่ ๒ ด้านทิศตะวันออก นับจากหอพระ ธาตุดอกบัวคู่ไปทางด้านทิศใต้ราวๆ ๕๐ เมตร หรือ นับจากหลังถ้ำโลกุตระนี้  ไปทาง ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือราวๆ ๕๐ เมตรเช่นกัน อยู่แถวๆนั้นแหละ  ที่แผ่นหินสลักเป็นร่องขนาดประมาณ ๓ ถึง ๔ หุนกว้างยาวประมาณ ๒ คูณ ๒ นิ้ว เป็นตัวอักษรไทย      ตามที่เห็นในรูปนี้ หลายท่านพอเห็นดังนี้แล้วก็คงพอนึกออกทันทีว่าท่านเป็นผู้ใด มาจากไหน อย่างไร ?  ในอดีตชาตินั้น ท่านสุดยอดขนาดไหน?  ขนาดนายทหารฝรั่งเศสยังต้องยอมยอมสิโรราบ ให้กับท่าน   ผู้เป็นเจ้าแห่งคุณวิเศษต่าง  ๆ นา ๆ ก็ท่านนี่แหละปารามาจารย์ แห่งการเล่นแร่แปรธาตุ ใบไม้ใบเดียวเหยียบข้ามน้ำโขงได้ลงอาบน้ำโขงที่เชี่ยวกราก     แต่ไม่ไหลไปไหน  แม้เรือไฟฝรั่งเศสก็ผ่านไม่ได้ คือท่าน สำเร็จลุน 

                เมื่อตน(ปู่เท่ห์)เคยเป็นผู้สร้าง พระบรมธาตุพนมมาก่อน    ตนก็ต้องได้กลับมาเป็นผู้บูรณะ ปฏิสังขรณ์ อีกครั้ง คือครั้งที่ ๔ แห่งการบูรณะ  ซึ่งกลับมาเกิดในภาค ท่าน ญาครูขี้หอม หรือ เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก ในระหว่าปี ๒๒๓๖ ถึง ๒๒๔๕   ภาคนี้ก็ไม่ธรรมดา ขนาดขี้ยังหอม .. สองฝั่งโขงไทยลาว ยากนักที่จะไม่มีใครไม่รู้จักท่าน ไม่ว่าจะเป็นท่านเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก และท่านสมเด็จลุน ก็ตามที.. นั่นก็ท่านปู่เท่ห์ของเราในอดีตชาติทั้งนั้น ท่านว่ามาอย่างนั้น นะครับข้าพเจ้าบ่อได้ว่าเอาเองเด้อ!

ญาท่านกรรมฐานแพง    วัดสะพือ  อำเภอพิบูล จังหวัดอุบลราชธานี อีกหนึ่ง เกจิอาจารย์ชื่อดังสองฝั่งโขง   ก็ท่านอีกนั่นแหละ จิตญาณในอีกชาติหนึ่งของหลวงปู่เท่ห์    ซึ่งทุกภาคก็เคยเปิดเผยให้รู้กันไว้มานานแล้ว   ตั้งแต่สมัยที่หลวงปู่ท่านยังไม่ละสังขาร ..  

ผู้ที่เคยขึ้นไปกราบรอยพระพุทธบาท และ สังขารปู่ในโลงแก้ว ที่สถูปเจดีย์ดอกบัวทอง ที่วัดภูนกหงส์ ก็จะได้เห็นรูปที่ท่านใส่กรอบไว้ให้ได้เห็นกันอยู่ถึง ๔ ภาค
ภาคพิเศษ มาคู่กับท่านท้าวมหาพรหม ชินปัญจระ  ภาคนี้ที่น้อยนักที่ใคร ๆ จะไม่รู้จัก  หงอคง เฮ่งเจีย คงไม่ต้องอธิบายสรรพคุณ    ดูในหนังยังไงก็ยังงั้น หลวงปู่เลี่ยมว่า แต่ก่อนก็ไม่รู้ว่าทำไมพ่อใหญ่ฮุด(ปู่เท่ห์)
ท่านเอาไม่เท้าอันใหญ่ยาว มาทำให้หดเล็ก  เป็นไม้แคะหูให้ดูเล่นๆได้ เหมือนหงอคงในหนังเลย มารู้อีกที่ว่า หงอคง  คือ หนึ่งในชาติเท่ห์ๆ ของท่านมาก่อน        

                            
ความจริงทีแรก ข้าพเจ้าไม่คิดว่าตนจะต้องมาบันทึกเปิดเผย ทุกภาคของหลวงปู่อย่างนี้หรอกนะครับ แต่การเขียนบันทึกของข้าพเจ้านี้ มันเหมือนถูกกำหนดทิศทางเอาไว้แล้ว มันเป็นมาเรื่อยๆเองมัน โดยที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อน.. เป็นอันว่าได้รู้ทุกภาคที่สำคัญๆของท่านหลวงปู่แล้วนะครับ
                ไม่ต้องสงสัยหรอกนะครับว่า  ภาคแรกที่มาจากเมืองบาดาลเกิดเป็นพระอุตระเถระ มาสร้างพระธาตุพนมนั้น เราๆรู้จักกันมั๊ย ?    ความจริงภาคนี้ท่านมีชื่อเสียงมากที่สุดกว่าทุกๆภาค ในสายนักปฏิบัติวิปัสสนาจะรู้จักกันดี  แต่ก็ไม่สู้จะมีใครรู้ว่าท่านเป็นจิตญาณเดียวกับหลวงปู่เท่ห์ของเรา เห็นรูปนี้ชัดๆอีกที่ก็ดีเนาะ!
หลวงปู่เทพโลกอุดร  
ถ้าเอ่ยชื่อนี้แล้ว คงยากนัก ที่จะไม่มีใครรู้จักท่าน  ผู้มีการไปการมาที่ลึกลับ พิสดาร  จู่ๆก็มาจู่ๆก็ไปไม่รู้มาจากที่ไหน?  ท่านอยู่ที่ไหน?  วัดไหน  เป็นใคร  อย่างไร  ลูกศิษย์ต่างพากันค้นหาท่าน..มาแต่โบราณแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ ที่มาที่ไป ที่ชัดเจนลึกลับล่องหนหายตัว สุดยอดวิชชา    มีหลวงปู่  คำคะนึง วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ติดริมโขง    อ.โขงเจียม
อุบลฯ บอกว่า  คือ  พระอุตระเถระ เป็นศิษย์ท่านพระมหากัสสปะเถระ มาแต่สมัยพุทธกาลโน่น.. แต่เพราะยังมีหน้าที่อยู่ท่านจึงยังไม่ไปไหน?     

ข้าพเจ้า เคยถกเถียงกับท่าน ในเรื่องของการเกิดทับซ้อนและเรื่องอายุขัย  เช่นเมื่อปู่มาเกิดนี้ แล้วใครทำหน้าที่แทนในภาคปู่เทพโลกอุดร เพราะยังมีลูกศิษย์ผู้ศรัทธาทั้งหลาย สื่อสารกับหลวงปู่เทพโลกอุดรได้อยู่เหมือนเดิม ท่านก็บอกพูดไปมึงก็ไม่เชื่อหรอก ว่าการแบ่งภาคทำหน้าที่นั้นมันมีจริงและทำได้จริง ว่ามาแบบนี้ก็ไม่รู้จะเถียงต่อยังไง ? เรื่องอายุที่ข้าพเจ้าสงสัย และพยายามบวกลบคูณหารอยู่ว่า  ตามตำนาน ประวัติในช่วง
จากเจ้าราชครู โพนสะเม็ก  มาเป็นท่านสำเร็จลุน  มาเป็นท่านญาถ่านกรรมฐานแพง  แล้วสุดท้ายมาเป็นท่านหลวงปู่เสถียร ฐิตะสีโล นี้ .. มันมีช่วงอายุทับซ้อนกันตรงไหนหรือไม่อย่างไร ?  ท่าทางท่านจะรู้ว่าข้าพเจ้ากำลังขี้สงสัยอยู่  วันหนึ่งข้าพเจ้าก็เอ่ยขึ้นว่า.. “ในช่วงสมเด็จลุนนั้นประวัติว่าอายุตั้ง ๑๐๘ ปี แล้วปู่จะมาเกิดทับซ้อนกับท่านหลวงพ่อคำแพงได้อย่างไร ? ”  .. “ มึงจะไปเชื่อประวัตินั้นได้อย่างไร ความจริงภาคที่กูเป็นสำเร็จลุนนั้นแหละ เป็นภาคที่อายุสั้นที่สุดไม่ได้อายุยืนเลย  ที่  ๑๐๘ ปีนั้นเป็นช่วงของ พระอุตตระเถระต่างหาก .. บักปึก! ”.. แล้วท่านก็บอกหมด ว่าแต่ละภาคที่ข้าพเจ้าสงสัยอยู่นั้นมีอายุเท่าใดบ้าง    ข้าพเจ้าเกรงว่าเมื่อนานๆไปจะลืมเสียสิ้น เลยจะเขียนใส่กระดาษเอาไว้ แต่ท่านก็เขียนใส่กระดาษให้เอง โดยไม่ลังเลเลยทันที ดังนี้   
ไม่ใช่บอกหวยนะครับเนี่ย!ได้เลขอายุท่านมาดังนี้ ข้าพเจ้าก็ยังมาบวก ลบ ดูตามอายุประวัติของภาคต่างๆอีกที  
ก็เป็นอันว่าไม่มีภาคที่ทับซ้อนกันเลยครับ ในอายุแห่งการเกิดสังขารของท่านที่ยังไม่ได้เผานั้น คือ 
๑.พระอุตตระเถระ เก็บไว้กับสังขารพระมหากัสสปะ  ๒.สังขารสำเร็จลุน  ๓.สังขารหลวงปู่เสถียร(เท่ห์)
รวม ๓ ภาคนี้ครับ ที่สังขารยังไม่ได้เผา
**
ขอย้อนกล่าวไปถึงศรีสุทโธนาคราช และ ท่านสุวรรณนาคราชผู้ใฝ่ดี  แต่เสียทีที่ไม่ยอมให้อภัยทาน
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น คือเมื่อท่านพญาศรีสุทโธนาคราช ได้ รับหน้าที่เป็นผู้อาสารับใช้พระพุทธศาสนาตลอด ๕,๐๐๐ ปี  และได้ส่งบริวารของตัว เองมาเกิดจนมากมาย เพื่อทำหน้าที่ช่วยกันบนโลกมนุษย์ ดังกล่าว
แต่ฝ่ายท่านสุวรรณนาค กลับได้รับหน้าที่เพียงแค่ดูแลบ้านเมือง  ออกแข้งออกขาเป็นมังกร ขึ้นทางหนองแสอีกฝั่งหนึ่งนั่นคือฝั่งเมืองจีน ก็ยิ่งทำให้สุวรรณนาคราชเป็นอันไม่พอใจยิ่งนัก   เนื่องจากตนเองไม่ใช่ผู้ผิดในตอนเริ่มต้น  แต่กลับต้องมาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และน้อยหน้าน้อยบารมีกว่า พญาศรีสุทโธอยู่ในพระพุทธศาสนาโดยตรงสามารถสร้างบารมีได้มากขึ้นเรื่อยๆ แผ่พังพานออกได้ถึง ๑๖ เศียร  แต่ตนได้เพียง ๘ เศียรเท่านั้น
เมื่อบารมีน้อยกว่า ฤทธิ์ เดช และ ทุกย่างก็ย่อมด้อยกว่าเป็นธรรมดา    
              จึงยิ่งทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นมาอีกเป็นหลายเท่า เมื่อรวมเข้ากับความแค้นที่เคยเข่นฆ่ากันมาครั้งนั้นแล้ว ยิ่งเป็นเหตุให้ยอมไม่ได้  ยังไงก็ยอมมิได้  อภัยไม่ได้เลย อโหสิกรรมไม่ได้   ด้ายแรงอาฆาต ก็ยิ่งเกิดกรรมที่หนักหน่วง และ เหนี่ยวนำไปสู่การวิวาทบาดหมาง
สุวรรณนาคราช ไม่เพียงแค่ส่งบริวารของตัวเองมาเกิดเป็นคน  เพื่อให้มาเป็นอุปสรรค  ขัดขวางการการทำงานเพื่อพระศาสนาของฝ่ายพญาศรีสุทโธเท่านั้น ผู้ใดที่มีเชื้อสายของฝ่ายตนเองมาก่อน  แม้ไม่ได้เกิดมาเพื่อตนก็ตาม  หากได้โอกาสตนเองก็จะเข้าแทรกชักชวนเอามาเป็นคนของตนเอง ทำงานให้กับตนเอง เท่านั้นยังไม่พอยังมีการวางแผนแก่งแย่งเอาคนของท่านพญาศรีสุทโธนาคราช ไปเป็นคนของคนเองด้วย
ยิ่งได้คนของศรีสุทโธมาเป็นบริวารของคนมากเท่าใดยุทธวิธีในการขัดบารมี และชำระหนี้แค้น ก็จะถือว่าตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบมากกว่า  ก็หวังไว้ว่าจะเอาผู้คนที่บริสุทธิ์ และคนของอีกฝ่าย เป็นป้อมปราการเป็นตัว
ป้องกันแนวรบของตน  คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้าทำลาย และต้องเสียใจมากหากทำบุ่มบ่ามลงไปแล้วโดนคนของตัวเอง เมื่อฝ่ายตรงข้างทำอะไรได้ไม่ถนัด กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฝ่ายตนสุวรรณนาคราชก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบในสนามรบทุกประตู 
ดังนั้นทั้งการต่อสู้อย่างระมัดระวัง และการปกป้องผู้บริสุทธิ์ในสนามรบแห่งโลกกลมๆแต่ขรุขระแหละเต็มไปด้วยหลุมพรางใบนี้ที่แสนจะน่ารื่นรมและหลอกลวงจึงถูกเร่งให้เกิดขึ้นอย่างหนักหน่วง จริงจัง   นับแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๐๐   กึ่งพุทธกาลเป็นต้นมา    สุวรรณนาคราชจะเล่นทุกวิธีการเท่าที่จะทำได้  ที่จะสามารถทำให้ฝ่ายตนเป็นฝ่ายได้เปรียบและให้เกิดความขัดข้อง เป็นอุปสรรค เป็นปัญหาให้แก่ศรีสุทโธนาคมากที่สุเท่าที่จะมากได้  จะเห็นได้ว่า ทุกวันนี้เกิดลัทธิใหม่ๆขึ้นมามากมาย ที่อ้างอิงเอาพระพุทธศาสนามาเป็นแนวทางของการส่งเสริมศรัทธาและความเชื่อ   เกิดขึ้นมากมายเหมือนดอกเห็ด   ทั้งจากกรรมของเหล่าสัตว์เอง และจากการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายสุวรรณนาคราชเอง ที่เที่ยวมาหลอกให้คนหลงเชื่อ ว่าตนเป็นก๋งกวนอูบ้าง ..  เป็นอะไรต่อมิอะไรไปสารพัด แม้แต่เป็นเง็กเชียน เป็นเซียนเป็นเจ้าต่างๆ ..ฯลฯ .. กระทั่งเป็นเจ้าแม่กวนอิม  แหละ หนักที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นพระอรหันต์ และ เป็นพระพุทธเจ้ามาเข้าทรงพร่ำสอนคนว่าจะนำทางให้หลุดพ้นจากกองทุกข์สู่แดนนิพพานได้ ผู้ไม่รู้ก็เลยหลง เชื่อแม้ข้าพเจ้าเองแต่ก่อนก็หลงเชื่ออยู่นาน..ท่านทั้งหลายเคยรู้บ้างหรือไม่ ว่าที่จริงแล้วเทพเทวาตั้งแต่ระดับพระอินทร์ขึ้นไปนั้น ยากมากๆที่จะมาผ่านร่างลงทรง
ยิ่งเป็นระดับพระอรหันต์ขึ้นไปถึงพระพุทธเจ้าแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะท่านดับเชื้อเกิดไปแล้ว จิตท่านบริสุทธิ์สิ้นเชื้อเกิดแล้ว ไม่มีร่างใดหรือสังขารของผู้ใดที่ไหนเลยในโลกนี้ ที่จะมารองรับบารมีของท่านได้ ไม่มีเลยจริงๆคือมันเป็นของที่เข้ากันไม่ได้อีกแล้ว เมื่อมันถูกแยกออกจากกันสิ้นสุดแล้ว จึงไม่อาจจะหวนกลับเข้าสู่ร่างที่ยังหนาไปด้วยกิเลสได้อีก ขืนท่านฝืนลงร่างใด ร่างนั้น ก็จะถึงแก่ความฉิบหายไปในทันที ชีพจรแตกสลายตายในพริบตา ..  ก็อย่างนี้แล้ว ท่านจะลงร่างทรงเที่ยวพร่ำสอนผู้คนได้อย่างไร?   แต่คนไม่รู้ก็หลงเชื่อกันไปอย่างน่าสงสารเพราะอยากได้บารมีและปรารถนาการพ้นทุกข์ หารู้ไม่ว่านั่นมันเป็นของร้อนเป็นของหลอกตาทำให้หลงทางนิพพาน
การสื่อสารจากเทพเบื้องบน ระดับชั้นพระอินทร์ขึ้นไปนั้น ท่านมีอยู่ แต่ไม่ใช่การมาลงร่างทรง  ถ้าท่านจะมา ท่านก็ต้องอาศัยสื่อกับผู้ที่มี องค์ฌาน มีหูแก้วตาทิพย์ มีจิตญาณหยั่งรู้สื่อสารพูดคุยกันได้ แบบนี้ท่านจึงจะมาได้ โดยไม่จำเป็นต้องมาอาศัยการทรงร่าง ..   ยิ่งระดับสูงๆที่เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นพระพุทธเจ้าก็ยิ่งยากไปกันใหญ่ ที่จะมีผู้ใดที่มีบารมีและโอกาสเท่าถึงท่านได้ จะต้องเป็นผู้มีบารมีเป็นเชื้อสายสัมพันธ์กันจริงๆท่านจึงจะสื่อสารได้   โดยการส่งพลังสายญาณลงมาเท่านั้น ท่านมิได้ลงมาด้วยตัวท่านเอง  แค่ท่านกำหนดจิตนิดเดียวก็ได้แล้ว ง่ายนิดเดียว เพียงแค่คนๆนั้น มีบารมีมีภูมิธรรมสัมพันธ์ ถึงระดับเป็นที่รองรับบารมีของท่านได้หรือไม่ก็เท่านั้นเอง ท่านที่ไม่เคยศึกษา  เรื่องการสร้างบารมีของพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลาย   เพื่อการเป็นพระพุทธเจ้ามาก่อน ก็จะไม่เข้าใจ พูดไปก็ไม่อาจจะรับรู้ได้ ถ้ายังไม่ลดมานะทิฐิที่มีอยู่มาก ลงเสียก่อน
นอกจากบางท่านที่ถูกเลือกให้มาทำหน้าที่เป็นกรณีพิเศษอย่างปู่เท่านั้น แต่ปู่ก็ยังจำกัดเฉพาะที่เลือกมาร่วมเป็นงานเดียวกันเท่านั้น ใช่ว่าจะลงได้ไปทั่ว เหมือนพวกที่ยังหนาไปด้วยกิเลสตัณหาอื่นๆต่างๆนาๆที่มาเพื่อหลอกหลอนผู้คนให้หลงเชื่อ .. ฯลฯ ..
เริ่มมานานแล้ว ๒๕๐๐ ยุทธศาสตร์การแก่งแย่งบริวารและการชิงพื้นที่ในสนามรบอีกฝ่ายทำไปเพื่อเก็บไว้เป็นบ่อนทำลายให้ฉิบหายวาวอดในที่สุด.. แต่อีกฝ่ายทำไปเพื่อการปกป้องรักษาเอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สองคนสองคม ใครจะจมใครจะฟูคงได้รู้กันในอีกไม่นานนี้..

วิกฤต สองพันห้า (๒๕๕๕)
มหาสงครามไตรยภพ ล้างโลก !
**
ภูนกหงส์หินแห่งนี้ น่าจะเป็นพุทธสถานที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในการ
ผ่อนหนัก ผ่อนเบา บรรเทาทุกข์ บำรุงสุข แก่พุทธศาสนิกชน
ให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้

ขอความสุขสวัสดีจงมี
อนุโมทนาสาธุ

หากขาดตกบกพร่อง หรือผิดพลาดสิ่งใดไปในการนำข้อมูลนี้มาเปิดเผย
ก็ต้องขอกราบอภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ




แก้ไขล่าสุดเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๗ (ยังไม่เสร็จสมบูรณ์)